รัสเซียอาจหันพึ่งจีน เลี่ยงผลกระทบมาตรการคว่ำบาตร

รัสเซียอาจหันพึ่งจีน เลี่ยงผลกระทบมาตรการคว่ำบาตร

สรุปข่าว

Market Round up  ปัจจัยติดตาม

1. รัสเซียอาจหันพึ่งจีน เลี่ยงผลกระทบมาตรการคว่ำบาตร

โดยนายแฮร์รี บรอดแมน อดีตผู้เจรจาการค้าของสหรัฐและเจ้าหน้าที่ธนาคารโลกซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวกับจีนและรัสเซียเปิดเผยว่า มาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติครั้งใหม่นี้ อาจกระตุ้นให้รัสเซียหันไปทำการค้าด้วยสกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์ โดยคาดว่ารัสเซียจะพยายามกระชับความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดต่าง ๆ จากมาตรการคว่ำบาตร ในขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ข้อมูลการค้าของธนาคารโลกและองค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยให้เห็นว่า จีนกลายเป็นประเทศเป้าหมายการส่งออกรายใหญ่ที่สุดของรัสเซียนับตั้งแต่ปี 2557 ที่รัสเซียถูกคว่ำบาตร หลังจากรัสเซียผนวกดินแดนไครเมียของประเทศยูเครน

 ซึ่งนอกจากด้านการส่งออกแล้ว รัสเซียยังคงนำเข้าสินค้าจากจีนมากที่สุดอีกด้วย โดยมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งสินค้านำเข้าหลักจากจีน ก็ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์โทรคมนาคม, ของเล่น, สิ่งทอ, เสื้อผ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่รัสเซียนำเข้าสินค้าจากเยอรมนีและยูเครนลดลงอย่างเห็นได้ชัด          


2. กังวลราคาน้ำมันแพง อาจกดดันเฟดลังเลขึ้นดอกเบี้ย

นักลงทุนในตลาดการเงินที่ฟังธงแล้วว่าธนาคารกลางสหรัฐจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง อาจจะต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ เพราะเริ่มมีความเห็นมากขึ้นจากหลายๆ สำนัก ว่าสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครน อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจนโยบายดอกเบี้ยหลังจากนี้

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหลังเดือนมีนาคมเป็นต้นไป อาจมีแนวโน้มไม่แน่นอนมากขึ้น หากรัสเซียบุกยูเครน เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดดังกล่าว ทำให้ราคาน้ำมันและน้ำมันเบนซินแพงขึ้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่สำหรับชาวอเมริกันจำนวนมาก อีกทั้งผู้บริโภคในสหรัฐฯ ยังเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐประมาณร้อยละ 70 อีกด้วย ขณะที่นายมาร์ค แซนดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากมูดี้ส์ อนาลิติกส์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันน่าจะเพิ่มขึ้น 10-15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเนื่องจากวิกฤตดังกล่าว และถ้าปรับขึ้นเป็นเวลานาน ก็เท่ากับจะไปเพิ่มอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคอีกร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบรายปี ในขณะที่ตอนนี้เงินเฟ้อก็อยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 7.5 แล้ว ซึ่งเขามองว่าสถานการณ์เช่นนี้ จะทำให้เฟดคุมอัตราเงินเฟ้อได้ยากขึ้น และดึงอัตราการจ้างงานให้กลับมาเต็มที่ได้ยากขึ้น

ส่วนบรรดานักเศรษฐศาสตร์จากหลายสำนักฯ กล่าวว่า ราคาน้ำมัน จะเป็นตัวขับเคลื่อนนโยบายเฟดในที่สุด โดยเริ่มแรกราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นจะเป็นตัวเร่งให้เกิดเงินเฟ้อ และในที่สุดก็อาจกลายเป็นภาวะเงินฝืด และหากราคาน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่องยาวนาน ก็จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอลง


3.เงินเฟ้อยุโรปยังยืนสูง ECB ชี้อาจขึ้นดอกเบี้ยกลางปีนี้

ส่วนการดำเนินนโยบายการเงินในฝั่งยุโรปเอง ก็เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนมากขึ้นว่ามีโอกาสที่จะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นมาอยู่ในช่วงกลางปี และอาจจะเกิดก่อนที่จะโครงการซื้อพันธบัตรจะยุติในปีนี้ 

โดยนายโรเบิร์ต โฮลซแมน กรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) แสดงความเห็นว่า เมื่อพูดถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ก่อนหน้านี้ ECB ได้ส่งสัญญาณเสมอ ว่าไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะยุติโครงการซื้อพันธบัตร แต่ก็เป็นไปได้ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงกลางปีนี้ ก่อนยุติการซื้อพันธบัตรและปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งตัวเขาเองก็สนับสนุนให้ดำเนินการเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน


ความเห็นของนายโฮลซแมน สอดคล้องกับรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ระบุว่า ECB ได้เปลี่ยนแปลงแนวทางจากที่ก่อนหน้านี้ให้คำมั่นว่าจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ และกรรมการฯ หลายราย ก็ได้ออกมาสนับสนุนให้ยุติโครงการซื้อพันธบัตรในปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ระบุว่าต้องดำเนินการก่อนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อของยูโรโซนแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา


#รัสเซียยูเครน #เงินเฟ้อ  #โอเปกพลัส #TNNWealth #TNNช่อง16

ติดตามข่าวหุ้นและการลงทุนทางไลน์

• Line @TNNWEALTH : https://lin.ee/TQ14oAe

• Facebook : https://www.facebook.com/TNNWealth

—————————————————————————

ติดตาม TNN Wealth ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ที่ 

• Website : https://bit.ly/TNNWealthWebsite

• Youtube : https://bit.ly/TNNWealthYoutube

• TikTok : https://bit.ly/TNNWealthTikTok

หรือดูรายการ Live ได้ทาง

https://www.facebook.com/TNN16LIVE/


ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :

avatar

TNNThailand