
รัฐบาลขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน-ดีเซล หวังเพิ่มรายได้รัฐ
ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่กฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในวันถัดจากการประกาศ ปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ และรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ
สรุปข่าว
รัฐบาลขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน-ดีเซล หวังเพิ่มรายได้รัฐ
ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่กฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในวันถัดจากการประกาศ ปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล เพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ และรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ
รายละเอียดการปรับอัตราภาษีใหม่ ได้แก่
- น้ำมันเบนซิน: เพิ่มจาก 6.50 เป็น 7.50 บาท/ลิตร
- แก๊สโซฮอล์ E10: เพิ่มจาก 5.85 เป็น 6.75 บาท/ลิตร
- แก๊สโซฮอล์ E20: เพิ่มเป็น 6.00 บาท/ลิตร
- แก๊สโซฮอล์ E85: เพิ่มเป็น 1.125 บาท/ลิตร
- น้ำมันดีเซลพื้นฐาน: 7.44 บาท/ลิตร
- น้ำมันดีเซลผสมไบโอดีเซล (B4–B25): อัตราภาษีลดหลั่นตามสัดส่วนผสม ตั้งแต่ 5.953–7.44 บาท/ลิตร
รัฐบาลชี้แจงว่า การปรับภาษีดังกล่าวเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง เปิดโอกาสให้สามารถปรับเพิ่มภาษีโดยไม่กระทบต่อต้นทุนเชื้อเพลิงมากนัก โดยมีเป้าหมายเพิ่มรายได้จากภาษีเพื่อรองรับภาระงบประมาณและรักษาเสถียรภาพการคลัง
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับภาษีใหม่ เพื่อชดเชยต้นทุนภาษีที่สูงขึ้นของผู้ค้าน้ำมัน ป้องกันไม่ให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มปรับตัวเพิ่มขึ้น ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงเศรษฐกิจยังเปราะบาง
ที่มาข้อมูล : ราชกิจจานุเบกษา
ที่มารูปภาพ : Getty Images