
ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.75 บาท/ดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อยในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.41-32.51 บาทต่อดอลลาร์)
โดยมีจะมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของราคาทองคำ หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (เป็นส่วนหนึ่งของรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค U of Michigan Consumer Sentiment) ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 17% ที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และให้โอกาสราว 82% ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปี 2026
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน อีกทั้ง ราคาทองคำก็เริ่มรีบาวด์ขึ้นบ้าง ในช่วงเปิดทำการช่วงเช้าของตลาดการเงินฝั่งเอเชีย
สรุปข่าว
ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาท เปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.48 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.75 บาท/ดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อยในลักษณะ Sideways Up (แกว่งตัวในกรอบ 32.41-32.51 บาทต่อดอลลาร์)
โดยมีจะมีจังหวะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของราคาทองคำ หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งจัดทำโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (เป็นส่วนหนึ่งของรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค U of Michigan Consumer Sentiment) ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 17% ที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และให้โอกาสราว 82% ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปี 2026
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน อีกทั้ง ราคาทองคำก็เริ่มรีบาวด์ขึ้นบ้าง ในช่วงเปิดทำการช่วงเช้าของตลาดการเงินฝั่งเอเชีย
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ออกมาสูงกว่าคาด
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น พร้อมรอติดตาม ถ้อยแถลงของประธานเฟด ในงาน Jackson Hole Symposium
แนวโน้มเงินบาท ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
โดยล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ มาพอสมควร (โอกาสเพียง 19%) ทำให้ในระยะสั้น ตลาดอาจไม่ได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปอีกมากนัก จนกว่าจะรับรู้ รายงานข้อมูลการจ้างงานเดือนสิงหาคม ซึ่งจะรับรู้ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน
นอกจากนี้ ในส่วนของ positioning นั้น ผู้เล่นในตลาดก็ได้ปรับลดสถานะ Net Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่า) ลงมาพอสมควร จนเรียกได้ว่า เกือบจะ Flat/Neutral positions ทำให้เงินดอลลาร์ก็พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง ตามการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อนึ่ง ไฮไลท์สำคัญ อย่าง ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในงานสัมนาวิชาการประจำปีของเฟด (Jackson Hole Symposium) ก็อาจไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
ทำให้เราประเมินว่า หากผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังกับถ้อยแถลงของประธานเฟด ก็อาจปรับลดโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ รวมถึงโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนลงบ้าง ทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้น กดดันราคาทองคำและเงินบาท ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาท (USDTHB) ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทมีการอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน
นอกเหนือจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด เรายังคงมองว่า การเคลื่อนไหวของทั้งเงินหยวนจีน (CNY) และราคาทองคำ จะเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่อเงินบาทพอสมควร เนื่องจากในช่วงนี้ ทั้งสองสินทรัพย์ได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทมาก
อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เราคงมองว่า เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญ Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด หลังรับรู้รายงายข้อมูลเศรษฐกิจและการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดจากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
- เงินบาทเช้านี้ 15 สิงหาคม 2568 เปิดตลาด “อ่อนค่าลง” ที่ 32.48 บาท/ดอลลาร์
- เงินบาทเช้านี้ 14 สิงหาคม 2568 เปิดตลาด “ทรงตัว” ที่ 32.27 บาท/ดอลลาร์
- เงินบาทเช้านี้ 13 สิงหาคม 2568 “อ่อนค่าเล็กน้อย” เปิดตลาด 32.40 /$
- เงินบาทเช้านี้ 8 สิงหาคม 2568 “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” เปิดตลาด 32.28 บาท/ดอลลาร์
- เงินบาทเช้านี้ 7 สิงหาคม 2568 “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” เปิดตลาด 32.35 บาท/ดอลลาร์
- เงินบาทเช้านี้ 6 สิงหาคม 2568 “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” เปิดตลาด 32.33 บาท/ดอลลาร์
- เงินบาทเช้านี้ 5 ส.ค. 2568 เปิดตลาด “แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 32.30 บาท/ดอลลาร์
ที่มาข้อมูล : Krungthai GLOBAL MARKETS
ที่มารูปภาพ : Getty Images
