
สรุปข่าว
วันนี้ (6 เม.ย.) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อาหารฮาลาล ถือเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความต้องการสูงและมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการส่งออกอาหารฮาลาลสูง โดยเฉพาะ ในกลุ่มประเภทข้าว ผลไม้สดแห้งแช่เย็นแช่แข็ง อาหารทะเลแปรรูปและกระป๋อง และน้ำตาล เนื่องจากได้เปรียบด้านวัตถุดิบต้นน้ำที่นำมาผลิตอาหารฮาลาล
นอกจากนี้ ตลาดกลุ่มอาหารฮาลาลยังเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีผู้บริโภคกว่า 2,200 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 29 ของประชากรโลก ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ไทยมีอยู่ทั้ง 13 ฉบับ กับ 18 ประเทศ เพื่อส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลไปยังกลุ่มประเทศอิสลาม (OIC) ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน รวมถึงประเทศที่มีกำลังการบริโภคกลุ่มอาหารฮาลาลสูง เช่น จีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน
ทั้งนี้ ไทยอยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำเอฟทีเอกับตุรกี และปากีสถาน และมีแผนจะเจรจาเอฟทีเอกับบังคลาเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสขยายตลาดกลุ่มอาหารฮาลาลในอนาคตอีกด้วย
ปัจจุบันไทยครองตำแหน่งผู้ส่งออกกลุ่มอาหารฮาลาลอันดับ 1 ในอาเซียน รวมถึงเป็นอันดับ 3 ในเอเชีย รองจากจีน และอินเดีย และอันดับที่ 12 ของโลก โดยในปี 2562 ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารฮาลาลไปทั่วโลกรวมมูลค่า 29,331 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 938,592 ล้านบาท โดยส่งออกไปจีนมากที่สุด รองลงมาได้แก่ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า การส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศมุสลิม โดยเฉพาะ อาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ และเครื่องดื่ม จะต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานตามหลักศาสนาอิสลาม พร้อมยื่นขออนุญาตใช้เครื่องหมายฮาลาลและหนังสือรับรองการผลิตอาหารฮาลาล จากสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค และควรพัฒนารูปแบบและคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น อาหารออร์แกนิคเพื่อสุขภาพ อาหารสำหรับคนในชุมชนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบาย และผู้สูงอายุที่เน้นบำรุงสุขภาพ
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand
ที่มาข้อมูล : -

TNNThailand