
สรุปข่าว
วันนี้( 22 เม.ย.64) นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิบการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจการประเมินผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย พบว่า ภาพรวมผลกระทบที่เกิดขึ้น จากสถานการณ์โควิดรอบที่ 1 ยังมากที่สุดเนื่องจากมีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ ในขณะที่รอบที่ 3 มีการล็อกดาวน์บางพื้นที่ แต่เกิดปัญหาผลกระทบสะสม และทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลง 0.62% ต่อเดือน หรือคิดเป็นมูลค่า 1 แสนล้านบาท โดยปัญหาโควิด-19 รอบใหม่ หรือ ระลอก 3 ที่เกิดขึ้นนี้ ส่งผลให้เม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจหายไป 2-3 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ยังไม่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยจากเดิมที่คาดไว้ 2.8% ในปีนี้ เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อชดเชยผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือกระตุ้นกำลังซื้อประชาชน ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานที่จะโตได้ 2.5-3% อยู่แล้ว แต่หากรัฐบาลไม่ดำเนินมาตรการใดเลย อาจทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้เพียง 1.6%
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะมีการบริหารจัดการอย่างไร โดยเฉพาะการนำเงินกู้ที่เหลืออีก 2 แสนล้านบาท มาอัดฉีดเพิ่มสภาพคล่องในระบบในช่วงไตรมาส 2 จะช่วยชดเชยการใช้จ่ายของประชาชนที่ลดลงไป 15% ซึ่งมองว่ารัฐยังไม่จำเป็นต้องเปิดเพดานเงินกู้ใหม่ และคาดว่าจะใช้เวลาในการจัดการกับโควิดรอบนี้ได้ไม่เกิน 2 เดือนและจะสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้ในช่วงไตรมาส 3
อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายได้ไม่เกินเดือนก.ค. และคืนสู่สภาพปกติได้ในช่วง 15-23 เดือน สิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการตอนนี้ เร่งดำเนินการเกี่ยวกับวัคซีนร่วมกับภาคเอกชน การฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายใต้การจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสม และสนับสนุนมาตรการด้านการเงิน เช่น สภาพคล่อง การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การพักขำระหนี้ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี
ด้านนายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับนโบบายเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มจีดีพี คือ โครงการคนละครึ่งเฟส3 จัดสรรงบ 57,190 ล้านบาทให้กับผู้ที่เคยได้รับเฟส1 - 2 จำนวน 16.34 ล้านราย ในอัตรา 3,500 บาท ต่อราย รวม 114,380 ล้านบาท และการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ เช่นโครงการช็อปช่วยชาติพลัสเพิ่มลดหย่อนภาษีไม่เกิน 1 แสนบาท โครงการบ้านหลักแรกปี2564 และโครงการรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก รวมมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เช่นโครงการพักสุดหรู ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 1 แสนบาท รวม มูลค่า 2,000 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งหมด 200,300 ล้านบาท ตลอดจนการเพิ่มมูลค่าส่งออก ในช่วง 8 เดือนที่เหลือ อีก 73,920 ล้านบาท โดยรักษาค่าเงินบาทให้อยู่ที่ 31-32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
- ไทยยังน่าลงทุน? ต่างชาติเทเงิน 5.7 หมื่นล้านใน 4 เดือนแรกปี 2568
- รัฐต้องใช้ PPP ปลดล็อกเพดานหนี้ แก้จีนเทา-สวมสิทธิ ก่อนเศรษฐกิจสะดุด
- ธุรกิจเลิกกิจการเฉียด 4,000 ราย จัดตั้งใหม่เกิน 30,000 ราย ช่วง 4 เดือนแรก ปี 2568
- เศรษฐกิจไทย เม.ย. 68 ได้แรงหนุนส่งออก แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัวลง
- งบปี 69 ใช้ยังไง? เปิดรายการลงทุนหลักของรัฐบาล ดัน ศก.-ฝ่าวิกฤตโลก
- ใช้จ่ายการศึกษาพุ่งสูงสุด เทอมเดียวสะพัด 6.2 หมื่นล้าน สวนทางเด็กเกิดใหม่น้อยลง
- การเลือกผู้ว่า "แบงก์ชาติ" คนใหม่ สำคัญกับคนไทยแค่ไหน นอกจากเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยบ้าน
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand