ยอดขาย EV ฝืดค่ายรถแตะเบรกปรับแผน l การตลาดเงินล้าน

สรุปข่าว

"โร โมชัน" (Rho Motion) ระบุว่า ยอดขายรถ EV ที่นับรวมทั้งแบบแบตเตอรี่ล้วนและไฮบริดเสียบปลั๊ก เดือนสิงหาคม อยู่ที่ 1.47 ล้านคัน ขยายตัวร้อยละ 20 เมื่อเทียบรายปี อานิสงส์จากยอดขายในจีนที่ทำสถิติ แม้ตลาดยุโรปจะชะลอตัวลงมากสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2566 โดยในเดือนสิงหาคม ยอดขายในจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 42 แตะระดับกว่า 1 ล้านคัน ขณะที่สหภาพยุโรป หรือ EU บวกกับสมาคมการค้าเสรียุโรป ที่มีสมาชิก ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ รวมถึงอังกฤษ มียอดขายรวมกว่า 180,000 คัน ส่วนสหรัฐฯ และแคนาดา ยอดขายเพียง 160,000 คัน

ตลาดรถ EV ที่ส่งสัญญาณชะลอตัวทำให้ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายปรับเปลี่ยนแผนเกี่ยวกับการพัฒนาและผลิตรถ EV เริ่มที่ "โตโยต้า มอเตอร์" ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ประกาศปรับลดแผนการผลิต EV ราว 1 ใน 3 ภายในปี 2569 ซึ่งภายใต้แผนใหม่ "โตโยต้า" จะผลิตรถ EV ราว 1 ล้านคัน ในปี 2569 เมื่อเทียบกับเป้าหมายยอดขายเดิมที่ประกาศไว้ที่ 1.5 ล้านคัน แต่แม้จะปรับแผนแล้วก็ยังถือเป็นเป้าหมายที่สูง เพราะยอดขายรถ EV ที่ใช้แบตเตอรี่ของ "โตโยต้า" อยู่ที่เพียง 104,000 คัน คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 1 ของยอดขายรถทั้งหมด 11.23 ล้านคันในปี 2566 แต่ยอดขายไฮบริดของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้น

"โตโยต้า" อธิบายว่า นี่ไม่ใช่การปรับเปลี่ยนความมุ่งมั่นในการผลิตรถ EV 1.5 ล้านคันต่อปี ภายในปี 2569 และ 3.5 ล้านคันภายในปี 2573 ที่เคยประกาศไว้ แต่ตัวเลขดังกล่าวไม่ใช่เป้าหมาย เป็นแค่เกณฑ์มาตรฐานสำหรับผู้ถือหุ้นและเป็นแนวปฏิบัติสำหรับรองรับความต้องการในอนาคต โดยบริษัทให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับแรก และจำเป็นต้องนำเสนอทางเลือกที่ลูกค้าต้องการในเวลาที่เหมาะสม

"วอลโว่" (Volvo) ค่ายรถจากสวีเดน ซึ่งมีบริษัท "จี๋ลี่" (Geely) จากจีนถือหุ้นใหญ่ ประกาศคว่ำแผนขายเฉพาะรถ EV เพียงอย่างเดียว ภายในปี 2573 โดยอ้างถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติได้จริงและมีความยืดหยุ่นท่ามกลางสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ล่าสุด วอลโว่ ตั้งเป้าให้ยอดขายราวร้อยละ 90-100 มาจากรถ EV แบบใช้แบตเตอรี่ หรือไฮบริดเสียบปลั๊ก ภายใน 6 ปีข้างหน้า และราวร้อยละ 10 ที่เหลือมาจากรถ mild hybrid หรือรถที่ระบบเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า แต่ทั้งแหล่งพลังงานทั้งสองไม่สามารถทำงานแยกจากกันได้เหมือนรถแบบ full hybrid

"ฟอร์ด มอเตอร์" (Ford) ค่ายรถอเมริกัน ระบุเมื่อเดือนสิงหาคม เตรียมปรับลดสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านทุนประจำปีที่เกี่ยวกับรถ EV แบบใช้แบตเตอรี่ล้วน เหลือประมาณร้อยละ 30 จากเดิมที่ตั้งไว้ร้อยละ 40 เนื่องจากบริษัทจะหันมาให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฮบริดมากขึ้น รวมทั้งบริษัทกำลังจะยุติแผนการผลิตรถเอนกประสงค์ (SUV) ไฟฟ้า 3 รุ่น และเลื่อนการผลิตรถกระบะยอดนิยม F-150 ในเวอร์ชัน EV ออกไปก่อน เพื่อลดต้นทุนลง 

ส่วนค่ายรถร่วมชาติ "เจเนอรัล มอเตอร์ส" (GM) ก็ปรับลดคาดการณ์การผลิตรถ EV ในปีนี้ลงเมื่อเดือนมิถุนายน จากนั้นอีก 1 เดือนต่อมา บริษัทปฏิเสธที่จะยืนยันเป้าหมายผลิตรถ EV 1 ล้านคันในอเมริกาเหนือ ภายในสิ้นปี 2568 ตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี

ด้าน "โฟล์คสวาเกน" (Volkswagen) ค่ายรถจากเยอรมนี กำลังพิจารณาจะปิดโรงงานในประเทศอย่างน้อย 1 แห่ง และโรงงานประกอบชิ้นส่วนอีก 1 แห่ง นับเป็นครั้งแรกในรอบ 87 ปี ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ท้าทายมากขึ้นและความจำเป็นในการลดต้นทุน ซึ่งจะทำให้มีการปลดพนักงานครั้งใหญ่ตามมา สะท้อนถึงแรงกดดันด้านราคาที่ผู้ผลิตรถสัญชาติยุโรปต้องเผชิญ เมื่อเทียบกับคู่แข่งจากเอเชีย โดยเฉพาะจีน 

"เมอร์เซเดส-เบนซ์" (Mercedes-Benz) ผู้ผลิตรถจากเยอรมนีอีกราย ได้แจ้งต่อผู้ถือหุ้นเมื่อต้นปีนี้ว่า ยอดขายรถ EV ที่รวมทั้งแบตเตอรี่ล้วนและไฮบริด จะมีสัดส่วนร้อยละ 50 ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2573 ซึ่งเป็นการเลื่อนจากแผนเดิมที่วางไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2568 พร้อมกับชะลอแผนการผลิตเซลล์แบตเตอรี่เนื่องจากความต้องการรถ EV ยังไม่เพิ่มขึ้นมาก 

ด้าน "ปอร์เช่" (Porsche) ค่ายรถหรูร่วมชาติ ก็ประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคม ชะลอเป้าหมายยอดขาย EV จากเดิมที่ตั้งเป้าให้ร้อยละ 80 ของยอดขายทั้งหมดเป็นรถ EV ภายในปี 2573 โดยยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าน่าจะใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อ 5 ปีก่อน

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :

avatar

TNNThailand