สหรัฐฯรุกคืบสงครามการค้า สกัดรถจีนโตแรง

สหรัฐฯรุกคืบสงครามการค้า สกัดรถจีนโตแรง

สรุปข่าว

เมื่อวันจันทร์ (23 ก.ย.) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เสนอแผนห้ามใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์จีน สำหรับยานยนต์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและขับขี่อัตโนมัติ (connected and autonomous vehicle-CAV) ซึ่งจะทำให้รถยนต์จากจีนเกือบทั้งหมดไม่สามารถเข้าตลาดสหรัฐฯ ได้ ไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพราะรถยนต์รุ่นใหม่เกือบทั้งหมดบนท้องถนนสหรัฐฯ เป็นรถที่สามารถเชื่อมต่อได้ 


รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้แสดงความกังวลกรณีบริษัทจีนรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ขับขี่และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงที่ปรปักษ์ต่างชาติอาจเจาะระบบหรือเข้าควบคุมรถยนต์ CAV บนท้องถนนของสหรัฐฯ ได้จากระยะไกล ในสถานการณ์เลวร้ายสุด อาจถูกปิดระบบหรือยึดรถยนต์ทั้งหมด ส่งผลให้รัฐบาลต้องรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงในรูปแบบใหม่นี้ ก่อนที่ซัพพลายเออร์ ผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์จะมีความเชื่อมโยงกับจีนหรือรัสเซียจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาและแพร่หลายในอุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ


“รถยนต์เชื่อมต่อ” เป็นคำกว้าง ๆ สำหรับเรียกรถยนต์ รถประจำทาง หรือรถบรรทุกสมัยใหม่แทบทุกคันที่ใช้การเชื่อมต่อเครือข่าย เพื่อการช่วยเหลือฉุกเฉิน การสื่อสารผ่านดาวเทียม หรือฟีเจอร์อื่น ๆ ซึ่งมาตรการห้ามล่าสุดครอบคลุมถึงฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่โต้ตอบกับเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้รถยนต์สามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้ อาทิ บลูทูธ Wi-Fi และเทคโนโลยีสื่อสารไร้สาย รวมถึงยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติความสามารถสูงที่ไม่ต้องมีคนขับ 


อย่างไรก็ตาม มาตรการห้ามนี้จะไม่ครอบคลุมรถติดตั้งซอฟต์แวร์จีนที่ใช้งานในปัจจุบัน แต่การห้ามใช้ซอฟต์แวร์จะมีผลบังคับใช้กับรถในปี 2570 และการห้ามใช้ฮาร์ดแวร์จะมีผลบังคับใช้ในปี 2573 รัฐบาลสหรัฐฯ จะเปิดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเป็นเวลา 30 วัน และกระทรวงพาณิชย์น่าจะประกาศรายละเอียดก่อนสิ้นสุดวาระดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีไบเดนในช่วงต้นปี 2568 // ขณะที่ทางการจีนออกมาคัดค้านการขยายขอบเขตเรื่องความมั่นคงของชาติ และการกระทำที่เป็นการเลือกปฏิบัติต่อบริษัทและผลิตภัณฑ์ของจีน 


ข้อเสนอล่าสุดนับเป็นการยกระดับสงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลก เพื่อรักษาห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยีที่สำคัญสำหรับอนาคต ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ไปจนถึงซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หลังจากจีนเร่งเครื่องพัฒนาเทคโนโลยี โดยเฉพาะ EV ที่เติบโตอย่างรวดเร็วจนถูกมองเป็นภัยคุกคามต่อทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) โดยข้อเสนอแบนซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์จากจีนเกิดขึ้นในจังหวะไล่เลี่ยกับที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน รวมถึงการเก็บภาษี EV ร้อยละ 102.5 เพิ่มขึ้น 4 เท่าจากเดิม ซึ่งจะมีผลในวันที่ 27 กันยายนนี้ 


ทั้งนี้ เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนหลายรายการ โดยพุ่งเป้าอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ แผงโซลาร์ ไปจนถึงเวชภัณฑ์บางประเภท มาตรการภาษีใหม่ดังกล่าวส่งผลกระทบครอบคลุมมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีนราว 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์


นอกเหนือจากประเด็นด้านความมั่นคง “บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์” ประเมินว่าสหรัฐฯ น่าจะมีความกังวลในเชิงพาณิชย์ด้วย โดยรถยนต์เชื่อมต่อน่าจะมีมูลค่าตลาดรวมทั้งโลกอยู่ที่ราว 7.42 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2573 


สอดคล้องกับ researchandmarkets.com ที่คาดการณ์ว่า ตลาดรถยนต์เชื่อมต่อได้จะยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากขยายตัวรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2566 มูลค่าตลาดอยู่ที่ 8.004 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีแนวโน้มจะเพิ่มเป็น 9.259 หมื่นล้านดอลลาร์ ด้วยอัตราการเติบโตรายปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ร้อยละ 15.7 ซึ่งได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อาทิ 5G และ AI รวมถึงการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและอินเทอร์เน็ตเชื่อมทุกสรรพสิ่ง (internet of things-IoT) ที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับความต้องการ Wi-Fi ในรถยนต์และยานยนต์ขับเคลื่อนอัจฉริยะ 


ขณะที่เมื่อปีที่แล้ว ยอดขายรถยนต์ของจีนแซงหน้าสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ตามการประเมินของบริษัทวิจัยตลาด “เจโต ไดนามิกส์” (Jato Dynamics) ระบุว่า รถยนต์แบรนด์จีนสามารถทำยอดขายในปี 2566 อยู่ที่ราว 13.4 ล้านคัน ส่วนรถแบรนด์อเมริกันมียอดขายรวม 11.9 ล้านคัน แต่ญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้นำตลาด มียอดขายประมาณ 23.59 ล้านคัน ด้านอัตราการเติบโตของยอดขายรถแบรนด์จีนก็แซงหน้าสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน โดยอัตราการเติบโตของรถแบรนด์จีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เมื่อเทียบรายปี ส่วนสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 


ปัจจัยที่ทำให้รถยนต์จีนได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากความไม่ใส่ใจของผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิม ทำให้ราคารถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงผลักให้ผู้บริโภคบางส่วนหันไปหารถยนต์ทางเลือกจากจีนที่ราคาไม่ไกลเกินเอื้อม โดยเฉพาะแบรนด์จีนชั้นนำอย่าง BYD ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากรุกคืบออกไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น ท่ามกลางสงครามราคาที่ดุเดือดในตลาดจีน


แบรนด์รถยนต์จีนให้น้ำหนักกับการสยายปีกเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่มากเป็นพิเศษ โดยยอดขายรถยนต์ใหม่ในตลาดเกิดใหม่ ปี 2566 อยู่ที่กว่า 17.5 ล้านคัน ซึ่งมากกว่ายอดขายในตลาดสหรัฐฯ หรือยุโรป แบรนด์รถยนต์จีนคว้าส่วนแบ่งตลาดในตะวันออกกลาง ยูเรเซีย และแอฟริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็เติบโตในตลาดลาตินอเมริกาและอาเซียน ขณะเดียวกัน แบรนด์จีนบางรายก็ชิงส่วนแบ่งในประเทศพัฒนาแล้วมาได้ อาทิ ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอิสราเอล


แต่ในปีนี้อุตสาหกรรมรถยนต์จีนกลับต้องเผชิญกับอุปสรรคทางการค้ามากขึ้น โดยประเทศต่าง ๆ เริ่มบังคับใช้มาตรการกีดกันทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศจากสินค้าส่งออกราคาถูกของจีน รวมถึงในยุโรป ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของ EU เตรียมเสนอเคาะอัตราภาษี EV นำเข้าจากจีนที่ร้อยละ 35.5 เพิ่มเติมจากภาษีนำเข้าเดิมที่ร้อยละ 10 จากก่อนหน้านี้เสนอจัดเก็บสูงสุดที่ร้อยละ 38.1


สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนความกังวลของสหรัฐฯ EU รวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่มีต่อการเติบโตแบบก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) จากจีน จนกลายเป็นประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า บทบาทที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์จีนกำลังส่งผลกระทบต่อแบรนด์รถยนต์จากตะวันตกและญี่ปุ่นที่เคยเป็นผู้นำมาอย่างยาวนาน


ในปี 2566 รถ EV จำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งโลกอยู่บนท้องถนนจีน ทำให้จีนกลายเป็นตลาดและผู้ผลิตรถยนต์ EV รายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนทั้งทางตรงและทางอ้อม  


เว็บไซต์คาร์บอนบรีฟ (Carbon Brief) อ้างการประเมินของศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษานานาชาติ (CSIS) ระบุว่า ระหว่างปี 2552-2566 รัฐบาลจีนได้ทุ่มงบราว 2.3 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม EV นอกเหนือจากการสนับสนุนเชิงนโยบายต่าง ๆ และอัตราการสนับสนุนเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้มาตรการอุดหนุนบางส่วนจะหมดไปแล้ว โดยในปี 2561 เงินอุดหนุนทั้งหมดสำหรับ EV อยู่ที่ 1.74 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ในปี 2566 เงินอุดหนุนพุ่งสูงถึง 4.53 หมื่นล้านดอลลาร์


การสนับสนุนอย่างเต็มกำลังดังกล่าวช่วยผลักดันให้ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 51 ของรถยนต์ทั้งหมดที่ขายในจีน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกที่ยอดขายรถพลังงานใหม่มีสัดส่วนมากกว่ารถยนต์แบบน้ำมัน 


ในแง่การผลิต ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ของจีน ระบุว่า จำนวนการผลิตรถ NEV ในจีนรวมทั้งหมดในปี 2561 อยู่ที่เพียง 1.27 ล้านคัน ในขณะที่การผลิตในเดือนตุลาคมปี 2566 เพียงเดือนเดียวสูงถึง 2.8 ล้านคัน และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นก็ผลักดันให้บริษัทจีนต้องสร้างสรรค์นวัตกรรม และพัฒนาการออกแบบที่ล้ำสมัย รวมถึงแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถ EV


การผลิตที่เพิ่มขึ้นมากส่งผลให้จีนมีการผลิตส่วนเกินและจำเป็นต้องส่งออกไปตลาดต่างประเทศ ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีน ระบุว่า มูลค่าการส่งออกรถ EV ของจีน เพิ่มขึ้น 160 เท่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2562 ส่วนการส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั้งหมดก็แซงหน้าการนำเข้ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั้งหมด ในปี 2565 ขณะที่การนำเข้าทั้งรถ EV และรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั้งหมดยังคงทรงตัว 


การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมรถยนต์จีนดังกล่าวส่งผลให้หลายประเทศมองเป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมในประเทศ จนทำให้ออกมาตรการกีดกันในรูปแบบต่าง ๆ ขณะที่จีนมองว่าการสนับสนุนของภาครัฐเป็นสิ่งจำเป็นในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมของจีน


ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :

avatar

TNNThailand