DeepSeek AI จีนผงาด สัญญาณเตือนบิ๊กเทค

DeepSeek AI จีนผงาด สัญญาณเตือนบิ๊กเทค

บริษัทวิจัยข้อมูลแอปพลิเคชัน “เซ็นเซอร์ ทาวเวอร์” (Sensor Tower) ระบุว่า “ดีปซีค” (DeepSeek) แอปพลิเคชันผู้ช่วยที่ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของจีน ขึ้นแท่นเป็นแอปฯ ฟรีที่มีคะแนนสูงสุดบน “แอป สโตร์” ในสหรัฐฯ แซงหน้า “แชตจีพีที” (ChatGPT) ของค่าย “โอเพนเอไอ” (OpenAI) โดยล่าสุดขับเคลื่อนด้วย 2 โมเดลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้ง DeepSeek V3 และ DeepSeek R1 ที่เพิ่งเปิดตัวไล่เลี่ยกัน เทียบเคียงได้กับโมเดลทันสมัยสุดของ OpenAI และ “เมตา แพลตฟอร์มส์”


DeepSeek สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกในชั่วข้ามคืน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นแทบจะไม่มีใครรู้จักแอปพลิเคชัน AI จากจีนรายนี้ที่ก่อตั้งมาได้เพียง 1 ปี ขณะเดียวกันก็สร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรม AI โลก สะท้อนจากการที่หุ้นบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนัก และยังพลิกมุมมองของนักลงทุนเกี่ยวกับศักยภาพด้านเทคโนโลยีของจีนที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความท้าทายจากมาตรการสกัดการส่งออกชิปขั้นสูงของสหรัฐฯ


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังยอมรับว่า การที่ DeepSeek จากจีนได้รับความนิยมอย่างล้นหลามน่าจะเป็นสัญญาณเตือนสำหรับบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ถึงแม้เขาจะต้องการให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำด้าน AI ต่อไป แต่ DeepSeek ก็เป็นความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม และต้องให้ความสำคัญกับการแข่งขันมากขึ้น


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวร่วงลงอย่างมากหลังมีกระแสข่าว DeepSeek เนื่องจากนักลงทุนพากันเทขายหุ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ใช้เม็ดเงินสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับ AI จากจีน ส่งผลให้มูลค่าตลาด (market cap) หายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ท่ามกลางความตื่นตระหนกเกี่ยวกับการผงาดขึ้นมาของแอปพลิเคชัน AI น้องใหม่ที่พัฒนาโดยสตาร์ตอัปจีน 


ดัชนี S&P 500 ลดลงเกือบร้อยละ 1.5 ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพสิต (Nasdaq Composite) ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยี ปรับตัวร่วงลงมากกว่าร้อยละ 3 สำหรับหุ้นที่ได้รับผลกระทบหนักสุด คือ “อินวิเดีย” (Nvidia) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ราคาหุ้นดิ่งลงเกือบร้อยละ 17 ส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทหายไปถึง 5.89 แสนล้านดอลลาร์ เหลือ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ นับเป็นการสูญเสียมูลค่าตลาดในวันเดียวมากสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และทำให้สูญเสียตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดของโลกให้แก่ “แอปเปิล” 


นอกจากนี้ ยังมีหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ปรับลดลง ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตชิปอย่าง “บรอดคอม” (Broadcom) ร่วงร้อยละ 17 และ “ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง” (TSMC) ลดลงร้อยละ 12 ส่วนหุ้นบิ๊กเทค “ไมโครซอฟท์” ลดลงร้อยละ 2 และ “อัลฟาเบต” ร่วงร้อยละ 4 // ผลกระทบยังขยายวงกว้างไปไกลถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ “ซีเมนส์ เอเนอร์ยี” ซึ่งจัดหาฮาร์ดแวร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ร่วงลงร้อยละ 20 ด้าน “ชไนเดอร์ อิเล็กทริก” (Schneider Electric) ผู้ผลิตไฟฟ้าของฝรั่งเศสที่ลงทุนอย่างหนักในบริการสำหรับศูนย์ข้อมูล ราคาหุ้นร่วงลงร้อยละ 9.5 เนื่องจาก DeepSeek ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 


ปรากฏการณ์ DeepSeek ยังฉุดราคาน้ำมันให้ลดลงในวันจันทร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความต้องการพลังงานในการจ่ายพลังงานให้กับศูนย์ข้อมูลที่อาจลดลง ซ้ำเติมปัจจัยเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และมาตรการภาษี “ทรัมป์ 2.0” ที่อาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยราคาน้ำมันดิบเบรนต์สัญญาส่งมอบล่วงหน้าแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม // นอกจากนี้ ยังกระทบชิ่งถึงราคาทองคำที่ร่วงลงกว่าร้อยละ 1 มากสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม เนื่องจากนักลงทุนแห่ขายทองคำเพื่อชดเชยการขาดทุนที่เกิดจากหุ้นเทคโนโลยีที่ร่วงลงอย่างหนัก


การผงาดขึ้นมาสู่เวทีโลกของ DeepSeek R1 หลัก ๆ มาจากความสามารถที่ใกล้เคียงกับ “โอเพนเอไอ โอวัน” (OpenAI O1) อย่างคณิตศาสตร์ระดับยาก (AIME 2024) DeepSeek ได้คะแนน 79.8 มากกว่า ChatGPT ที่ 79.2 // ส่วนทักษะการเขียนโปรแกรม (Codeforces) DeepSeek ได้คะแนน 96.3 และ ChatGPT มีคะแนน 96.6 // และการทดสอบความสามารถในวิชาเคมี ฟิสิกส์ และชีววิทยา (GPQA diamond) DeepSeek ได้คะแนน 71.5 ตามหลัง ChatGPT ที่มีคะแนน 75.7


ในส่วนของการใช้งานแชตบอต ผลงานของ ChatGPT ยังคงโดดเด่นในเรื่องการสนทนาหรือการทำงานสร้างสรรค์ รวมถึงข้อมูลข่าวและเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ DeepSeek ทำได้เหนือกว่าสำหรับงานทางเทคนิค อย่างการใช้แชตบอตสำหรับความคิดเชิงตรรกะ การเขียนโค้ด หรือสมการทางคณิตศาสตร์ // แม้ความสามารถของ DeepSeek และ ChatGPT จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แต่ก็ DeepSeek เปิดให้ใช้งานฟรีเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ผู้ใช้ ChatGPT อาจต้องสมัครใช้งานในราคาเดือนละ 20 ดอลลาร์ // นอกจากนี้ DeepSeek ยังเป็นแอปพลิเคชันแบบเปิด (โอเพนซอร์ส) แตกต่างจากค่ายบิ๊กเทคอื่น ๆ ที่เป็นระบบปิด // ขณะที่จุดอ่อนของ DeepSeek อยู่ที่การเซ็นเซอร์ตัวเองจากคำถามที่อ่อนไหวเกี่ยวกับจีน


อีกเรื่องหนึ่งที่ DeepSeek ของจีนโดดเด่นกว่าอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับ ChatGPT และ AI จากค่ายอื่น ๆ นั่นคือต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก โดยโมเดล DeepSeek V3 ใช้ชิป H800 ของ “อินวิเดีย” (Nvidia) สำหรับฝึก AI โดยมีค่าใช้จ่ายไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าน่าจะเป็นเงินที่ใช้ไปกับขุมพลังการประมวลผล มากกว่าค่าใช้จ่ายในการพัฒนาทั้งหมดที่น่าจะสูงกว่านั้น แต่ก็น่าจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์หรือหลายพันล้านดอลลาร์ที่บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ใช้จ่ายไปกับการพัฒนา AI ยกตัวอย่าง “เมตา แพลตฟอร์มส์” ที่ระบุว่าอาจต้องใช้เงินกว่า 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับการพัฒนา AI ในปีนี้ ส่วน “ไมโครซอฟท์” จัดสรรงบราว 8 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับ AI ในปีงบการเงินปัจจุบัน


UBS ประเมินว่า การลงทุนด้าน AI ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อเมริกันน่าจะมีมูลค่ารวมกันอยู่ที่ 2.24 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2567 และคาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 2.8 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว OpenAI และซอฟต์แบงก์ ประกาศแผนลงทุนราว 5 แสนล้านดอลลาร์ สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในช่วง 4 ปีข้างหน้า 


ผลงานที่โดดเด่นและมีพัฒนาการที่รวดเร็วของ DeepSeek ทั้งที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่ามาก ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามถึงความเป็นผู้นำของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ รวมถึงจำนวนเงินมหาศาลที่ใช้จ่ายไปกับการพัฒนา AI ซึ่งไม่แน่ว่าจะนำไปสู่การทำกำไร หรือจะลงเอยที่การใช้จ่ายเกินตัว ขณะเดียวกัน ก็พลิกมุมมองเกี่ยวกับความสามารถด้าน AI ของจีน ท่ามกลางความท้าทายจากมาตรการควบคุมการส่งออกชิปขั้นสูงของสหรัฐฯ เพื่อลดทอนความสามารถด้าน AI ของจีน ซึ่งอาจไม่ได้ผลตามที่สหรัฐฯ คาดหวัง 


ทั้งนี้ โมเดล AI ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT ไปจนถึง DeepSeek ต่างก็ต้องใช้ชิปขั้นสูงเพื่อฝึกอบรม AI ให้ฉลาดขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2564 รัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศมาตรการห้ามส่งออกชิปทันสมัย รวมถึงชิปที่ใช้ในการฝึกอบรมโมเดล AI ไปยังจีนหลายระลอก ดังนั้น การที่ DeepSeek ใช้ชิปที่ใช้มีขุมพลังน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ชิปขั้นสูงรุ่นอื่น ๆ ของ “อินวิเดีย” เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามสกัดดาวรุ่ง ประกอบกับต้นทุนการฝึกอบรมที่ค่อนข้างถูกกว่าของจีน ทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีของรัฐบาลสหรัฐฯ 


ความสำเร็จของ DeepSeek แสดงให้เห็นว่า คู่แข่งสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ แม้จะเผชิญข้อจำกัด เนื่องจากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของจีนในด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์ กำลังเปลี่ยนแปลงสมดุลของอำนาจ และการที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการจำกัดการเข้าถึงชิปขั้นสูงของจีน กลับกระตุ้นให้จีนหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้นและเร่งให้เกิดนวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่แค่นวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากการผลักดันของรัฐบาลจีนเพียงอย่างเดียว 


แต่ขณะนี้ยังมีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับบริษัทที่อยู่เบื้องหลัง DeepSeek ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ตอัปจีนขนาดเล็กที่มีฐานดำเนินงานอยู่ในหางโจว ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2566 โดย “เหลียง เหวินเฟิง” ซึ่งร่วมก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยง “ไฮ-ฟลายเออร์” (High-Flyer) เพื่อปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence-AGI) และ DeepSeek ก็เปิดตัวในช่วงปลายปีเดียวกัน และ DeepSeek เป็นรายแรกที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ท่ามกลางบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายสิบแห่ง ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ที่ต่างพัฒนา AI ในเวอร์ชั่นของตัวเอง


ความสำเร็จของ DeepSeek ได้รับการจับตามองในแวดวงการเมืองของจีนแล้ว โดยในวันเปิดตัว DeepSeek R1 เมื่อวันที่ 20 มกราคม “เหลียง” ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมแบบปิดสำหรับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงของจีน 


อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ผลงานที่โดดเด่นของ DeepSeek ในครั้งนี้ อาจไม่เพียงพอที่จะกล่าวอ้างถึงการเป็นผู้นำแทนที่สหรัฐฯ ได้อย่างสิ้นเชิง แต่ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของ DeepSeek เพราะสหรัฐฯ มีแต้มต่อในการบุกเบิกด้าน AI รวมทั้งมีจำนวนบุคลากรทักษะสูงและฐานทุนจำนวนมาก การที่ใครจะมาแทนที่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย


ความสามารถด้านเทคโนโลยีของจีนกำลังเป็นที่จับตาของทั่วโลก โดย DeepSeek เป็นแอปฯ จีนล่าสุดที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ โดยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวอเมริกันหันมาใช้แอปฯ จีนเพิ่มขึ้น อาทิ “เสี่ยวหงชู” (Xiaohongshu) หรือหนังสือปกแดง (RedNote) และ “เลมอนเอท” (Lemon8) ซึ่งเป็นทางเลือกแทนแอปฯ คลิปวิดีโอสั้น “ติ๊กต็อก” (TikTok) ที่เสี่ยงถูกแบนในสหรัฐฯ จากเหตุผลด้านความมั่นคง


จีนใช้ประโยชน์จากความสามารถด้านการผลิตที่สั่งสมมาหลายทศวรรษเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า และ AI การเติบโตของ DeepSeek สะท้อนเส้นทางการขยายอาณาจักรของบริษัทต่าง ๆ เช่น หัวเว่ย และไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ของ TikTok ซึ่งเปลี่ยนจากการเลียนแบบสินค้าขยับสู่ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับโลก โดยจีนเป็นผู้นำด้านสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับ AI รวมถึงมีบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์มากที่สุดประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ เศรษฐกิจดิจิทัลของจีนยังมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 40 ของ GDP ที่ขับเคลื่อนด้วยยักษ์ใหญ่อี-คอมเมิร์ซอย่าง “อาลีบาบา” และ JD.com


ขณะเดียวกัน ความสำเร็จของ DeepSeek ก็ทำให้บรรดาคู่แข่งในจีนเผชิญแรงกดดันในการอัปเกรดโมเดล AI ของตนเอง ล่าสุด “อาลีบาบา” บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ประกาศเปิดตัวโมเดล AI รุ่นใหม่ “เฉียนเหวิน 2.5” หรือ “เควน 2.5” (Qwen 2.5) โดยอ้างว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่า AI แบบโอเพนซอร์ส ทั้ง DeepSeek-V3 รวมถึง GPT-โฟร์โอ (GPT-4o) ของค่าย OpenAI และลามา-3.1-405B (Llama-3.1-405B) ของค่ายเมตา แพลตฟอร์มส์


การเปิดตัวของอาลีบาบาครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ เนื่องจากเป็นวันแรกของเทศกาลหยุดยาวช่วงตรุษจีนที่คนส่วนใหญ่หยุดงานและอยู่กับครอบครัว สะท้อนแรงกดดันจาก DeepSeek ที่ไม่ใช่แค่เขย่าแวดวง AI ในต่างประเทศ แต่ยังรวมถึงในจีนด้วย


“ไบต์แดนซ์” บริษัทแม่ของ “ติ๊กต็อก” (TikTok) ก็เพิ่งเปิดตัวโมเดล AI เวอร์ชันใหม่ “โต้วเป่า 1.5 โปร” (Doubao-1.5-pro) ที่อ้างว่าทำผลงานได้ดีกว่า “โอวัน” (o1) ของ OpenAI ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก “ไมโครซอฟท์” หลังการเปิดตัว DeepSeek-R1 เพียง 2 วัน


สรุปข่าว

บริษัทวิจัยข้อมูลแอปพลิเคชัน “เซ็นเซอร์ ทาวเวอร์” (Sensor Tower) ระบุว่า “ดีปซีค” (DeepSeek) แอปพลิเคชันผู้ช่วยที่ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของจีน ขึ้นแท่นเป็นแอปฯ ฟรีที่มีคะแนนสูงสุดบน “แอป สโตร์” ในสหรัฐฯ แซงหน้า “แชตจีพีที” (ChatGPT) ของค่าย “โอเพนเอไอ” (OpenAI) โดยล่าสุดขับเคลื่อนด้วย 2 โมเดลที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้ง DeepSeek V3 และ DeepSeek R1 ที่เพิ่งเปิดตัวไล่เลี่ยกัน เทียบเคียงได้กับโมเดลทันสมัยสุดของ OpenAI และ “เมตา แพลตฟอร์มส์”


DeepSeek สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกในชั่วข้ามคืน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นแทบจะไม่มีใครรู้จักแอปพลิเคชัน AI จากจีนรายนี้ที่ก่อตั้งมาได้เพียง 1 ปี ขณะเดียวกันก็สร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรม AI โลก สะท้อนจากการที่หุ้นบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนัก และยังพลิกมุมมองของนักลงทุนเกี่ยวกับศักยภาพด้านเทคโนโลยีของจีนที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความท้าทายจากมาตรการสกัดการส่งออกชิปขั้นสูงของสหรัฐฯ


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังยอมรับว่า การที่ DeepSeek จากจีนได้รับความนิยมอย่างล้นหลามน่าจะเป็นสัญญาณเตือนสำหรับบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ถึงแม้เขาจะต้องการให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำด้าน AI ต่อไป แต่ DeepSeek ก็เป็นความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม และต้องให้ความสำคัญกับการแข่งขันมากขึ้น


ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวร่วงลงอย่างมากหลังมีกระแสข่าว DeepSeek เนื่องจากนักลงทุนพากันเทขายหุ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับศักยภาพของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ใช้เม็ดเงินสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับ AI จากจีน ส่งผลให้มูลค่าตลาด (market cap) หายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ท่ามกลางความตื่นตระหนกเกี่ยวกับการผงาดขึ้นมาของแอปพลิเคชัน AI น้องใหม่ที่พัฒนาโดยสตาร์ตอัปจีน 


ดัชนี S&P 500 ลดลงเกือบร้อยละ 1.5 ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก คอมโพสิต (Nasdaq Composite) ที่เน้นหุ้นเทคโนโลยี ปรับตัวร่วงลงมากกว่าร้อยละ 3 สำหรับหุ้นที่ได้รับผลกระทบหนักสุด คือ “อินวิเดีย” (Nvidia) ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ราคาหุ้นดิ่งลงเกือบร้อยละ 17 ส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทหายไปถึง 5.89 แสนล้านดอลลาร์ เหลือ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ นับเป็นการสูญเสียมูลค่าตลาดในวันเดียวมากสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และทำให้สูญเสียตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดของโลกให้แก่ “แอปเปิล” 


นอกจากนี้ ยังมีหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ปรับลดลง ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตชิปอย่าง “บรอดคอม” (Broadcom) ร่วงร้อยละ 17 และ “ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟกเจอริง” (TSMC) ลดลงร้อยละ 12 ส่วนหุ้นบิ๊กเทค “ไมโครซอฟท์” ลดลงร้อยละ 2 และ “อัลฟาเบต” ร่วงร้อยละ 4 // ผลกระทบยังขยายวงกว้างไปไกลถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ “ซีเมนส์ เอเนอร์ยี” ซึ่งจัดหาฮาร์ดแวร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI ร่วงลงร้อยละ 20 ด้าน “ชไนเดอร์ อิเล็กทริก” (Schneider Electric) ผู้ผลิตไฟฟ้าของฝรั่งเศสที่ลงทุนอย่างหนักในบริการสำหรับศูนย์ข้อมูล ราคาหุ้นร่วงลงร้อยละ 9.5 เนื่องจาก DeepSeek ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 


ปรากฏการณ์ DeepSeek ยังฉุดราคาน้ำมันให้ลดลงในวันจันทร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความต้องการพลังงานในการจ่ายพลังงานให้กับศูนย์ข้อมูลที่อาจลดลง ซ้ำเติมปัจจัยเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และมาตรการภาษี “ทรัมป์ 2.0” ที่อาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยราคาน้ำมันดิบเบรนต์สัญญาส่งมอบล่วงหน้าแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม // นอกจากนี้ ยังกระทบชิ่งถึงราคาทองคำที่ร่วงลงกว่าร้อยละ 1 มากสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม เนื่องจากนักลงทุนแห่ขายทองคำเพื่อชดเชยการขาดทุนที่เกิดจากหุ้นเทคโนโลยีที่ร่วงลงอย่างหนัก


การผงาดขึ้นมาสู่เวทีโลกของ DeepSeek R1 หลัก ๆ มาจากความสามารถที่ใกล้เคียงกับ “โอเพนเอไอ โอวัน” (OpenAI O1) อย่างคณิตศาสตร์ระดับยาก (AIME 2024) DeepSeek ได้คะแนน 79.8 มากกว่า ChatGPT ที่ 79.2 // ส่วนทักษะการเขียนโปรแกรม (Codeforces) DeepSeek ได้คะแนน 96.3 และ ChatGPT มีคะแนน 96.6 // และการทดสอบความสามารถในวิชาเคมี ฟิสิกส์ และชีววิทยา (GPQA diamond) DeepSeek ได้คะแนน 71.5 ตามหลัง ChatGPT ที่มีคะแนน 75.7


ในส่วนของการใช้งานแชตบอต ผลงานของ ChatGPT ยังคงโดดเด่นในเรื่องการสนทนาหรือการทำงานสร้างสรรค์ รวมถึงข้อมูลข่าวและเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ DeepSeek ทำได้เหนือกว่าสำหรับงานทางเทคนิค อย่างการใช้แชตบอตสำหรับความคิดเชิงตรรกะ การเขียนโค้ด หรือสมการทางคณิตศาสตร์ // แม้ความสามารถของ DeepSeek และ ChatGPT จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แต่ก็ DeepSeek เปิดให้ใช้งานฟรีเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ผู้ใช้ ChatGPT อาจต้องสมัครใช้งานในราคาเดือนละ 20 ดอลลาร์ // นอกจากนี้ DeepSeek ยังเป็นแอปพลิเคชันแบบเปิด (โอเพนซอร์ส) แตกต่างจากค่ายบิ๊กเทคอื่น ๆ ที่เป็นระบบปิด // ขณะที่จุดอ่อนของ DeepSeek อยู่ที่การเซ็นเซอร์ตัวเองจากคำถามที่อ่อนไหวเกี่ยวกับจีน


อีกเรื่องหนึ่งที่ DeepSeek ของจีนโดดเด่นกว่าอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับ ChatGPT และ AI จากค่ายอื่น ๆ นั่นคือต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก โดยโมเดล DeepSeek V3 ใช้ชิป H800 ของ “อินวิเดีย” (Nvidia) สำหรับฝึก AI โดยมีค่าใช้จ่ายไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าน่าจะเป็นเงินที่ใช้ไปกับขุมพลังการประมวลผล มากกว่าค่าใช้จ่ายในการพัฒนาทั้งหมดที่น่าจะสูงกว่านั้น แต่ก็น่าจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์หรือหลายพันล้านดอลลาร์ที่บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ใช้จ่ายไปกับการพัฒนา AI ยกตัวอย่าง “เมตา แพลตฟอร์มส์” ที่ระบุว่าอาจต้องใช้เงินกว่า 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สำหรับการพัฒนา AI ในปีนี้ ส่วน “ไมโครซอฟท์” จัดสรรงบราว 8 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับ AI ในปีงบการเงินปัจจุบัน


UBS ประเมินว่า การลงทุนด้าน AI ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อเมริกันน่าจะมีมูลค่ารวมกันอยู่ที่ 2.24 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2567 และคาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 2.8 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว OpenAI และซอฟต์แบงก์ ประกาศแผนลงทุนราว 5 แสนล้านดอลลาร์ สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในช่วง 4 ปีข้างหน้า 


ผลงานที่โดดเด่นและมีพัฒนาการที่รวดเร็วของ DeepSeek ทั้งที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่ามาก ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามถึงความเป็นผู้นำของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ รวมถึงจำนวนเงินมหาศาลที่ใช้จ่ายไปกับการพัฒนา AI ซึ่งไม่แน่ว่าจะนำไปสู่การทำกำไร หรือจะลงเอยที่การใช้จ่ายเกินตัว ขณะเดียวกัน ก็พลิกมุมมองเกี่ยวกับความสามารถด้าน AI ของจีน ท่ามกลางความท้าทายจากมาตรการควบคุมการส่งออกชิปขั้นสูงของสหรัฐฯ เพื่อลดทอนความสามารถด้าน AI ของจีน ซึ่งอาจไม่ได้ผลตามที่สหรัฐฯ คาดหวัง 


ทั้งนี้ โมเดล AI ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT ไปจนถึง DeepSeek ต่างก็ต้องใช้ชิปขั้นสูงเพื่อฝึกอบรม AI ให้ฉลาดขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2564 รัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศมาตรการห้ามส่งออกชิปทันสมัย รวมถึงชิปที่ใช้ในการฝึกอบรมโมเดล AI ไปยังจีนหลายระลอก ดังนั้น การที่ DeepSeek ใช้ชิปที่ใช้มีขุมพลังน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ชิปขั้นสูงรุ่นอื่น ๆ ของ “อินวิเดีย” เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามสกัดดาวรุ่ง ประกอบกับต้นทุนการฝึกอบรมที่ค่อนข้างถูกกว่าของจีน ทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีของรัฐบาลสหรัฐฯ 


ความสำเร็จของ DeepSeek แสดงให้เห็นว่า คู่แข่งสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ แม้จะเผชิญข้อจำกัด เนื่องจากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของจีนในด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์ กำลังเปลี่ยนแปลงสมดุลของอำนาจ และการที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการจำกัดการเข้าถึงชิปขั้นสูงของจีน กลับกระตุ้นให้จีนหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้นและเร่งให้เกิดนวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่แค่นวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากการผลักดันของรัฐบาลจีนเพียงอย่างเดียว 


แต่ขณะนี้ยังมีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับบริษัทที่อยู่เบื้องหลัง DeepSeek ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ตอัปจีนขนาดเล็กที่มีฐานดำเนินงานอยู่ในหางโจว ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2566 โดย “เหลียง เหวินเฟิง” ซึ่งร่วมก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยง “ไฮ-ฟลายเออร์” (High-Flyer) เพื่อปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence-AGI) และ DeepSeek ก็เปิดตัวในช่วงปลายปีเดียวกัน และ DeepSeek เป็นรายแรกที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ท่ามกลางบริษัทเทคโนโลยีจีนหลายสิบแห่ง ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ที่ต่างพัฒนา AI ในเวอร์ชั่นของตัวเอง


ความสำเร็จของ DeepSeek ได้รับการจับตามองในแวดวงการเมืองของจีนแล้ว โดยในวันเปิดตัว DeepSeek R1 เมื่อวันที่ 20 มกราคม “เหลียง” ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมแบบปิดสำหรับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญที่จัดโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงของจีน 


อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ผลงานที่โดดเด่นของ DeepSeek ในครั้งนี้ อาจไม่เพียงพอที่จะกล่าวอ้างถึงการเป็นผู้นำแทนที่สหรัฐฯ ได้อย่างสิ้นเชิง แต่ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถของ DeepSeek เพราะสหรัฐฯ มีแต้มต่อในการบุกเบิกด้าน AI รวมทั้งมีจำนวนบุคลากรทักษะสูงและฐานทุนจำนวนมาก การที่ใครจะมาแทนที่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย


ความสามารถด้านเทคโนโลยีของจีนกำลังเป็นที่จับตาของทั่วโลก โดย DeepSeek เป็นแอปฯ จีนล่าสุดที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ โดยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวอเมริกันหันมาใช้แอปฯ จีนเพิ่มขึ้น อาทิ “เสี่ยวหงชู” (Xiaohongshu) หรือหนังสือปกแดง (RedNote) และ “เลมอนเอท” (Lemon8) ซึ่งเป็นทางเลือกแทนแอปฯ คลิปวิดีโอสั้น “ติ๊กต็อก” (TikTok) ที่เสี่ยงถูกแบนในสหรัฐฯ จากเหตุผลด้านความมั่นคง


จีนใช้ประโยชน์จากความสามารถด้านการผลิตที่สั่งสมมาหลายทศวรรษเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า และ AI การเติบโตของ DeepSeek สะท้อนเส้นทางการขยายอาณาจักรของบริษัทต่าง ๆ เช่น หัวเว่ย และไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ของ TikTok ซึ่งเปลี่ยนจากการเลียนแบบสินค้าขยับสู่ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับโลก โดยจีนเป็นผู้นำด้านสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับ AI รวมถึงมีบัณฑิตด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์มากที่สุดประเทศหนึ่ง นอกจากนี้ เศรษฐกิจดิจิทัลของจีนยังมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 40 ของ GDP ที่ขับเคลื่อนด้วยยักษ์ใหญ่อี-คอมเมิร์ซอย่าง “อาลีบาบา” และ JD.com


ขณะเดียวกัน ความสำเร็จของ DeepSeek ก็ทำให้บรรดาคู่แข่งในจีนเผชิญแรงกดดันในการอัปเกรดโมเดล AI ของตนเอง ล่าสุด “อาลีบาบา” บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ประกาศเปิดตัวโมเดล AI รุ่นใหม่ “เฉียนเหวิน 2.5” หรือ “เควน 2.5” (Qwen 2.5) โดยอ้างว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่า AI แบบโอเพนซอร์ส ทั้ง DeepSeek-V3 รวมถึง GPT-โฟร์โอ (GPT-4o) ของค่าย OpenAI และลามา-3.1-405B (Llama-3.1-405B) ของค่ายเมตา แพลตฟอร์มส์


การเปิดตัวของอาลีบาบาครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ เนื่องจากเป็นวันแรกของเทศกาลหยุดยาวช่วงตรุษจีนที่คนส่วนใหญ่หยุดงานและอยู่กับครอบครัว สะท้อนแรงกดดันจาก DeepSeek ที่ไม่ใช่แค่เขย่าแวดวง AI ในต่างประเทศ แต่ยังรวมถึงในจีนด้วย


“ไบต์แดนซ์” บริษัทแม่ของ “ติ๊กต็อก” (TikTok) ก็เพิ่งเปิดตัวโมเดล AI เวอร์ชันใหม่ “โต้วเป่า 1.5 โปร” (Doubao-1.5-pro) ที่อ้างว่าทำผลงานได้ดีกว่า “โอวัน” (o1) ของ OpenAI ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก “ไมโครซอฟท์” หลังการเปิดตัว DeepSeek-R1 เพียง 2 วัน


ที่มาข้อมูล : Reuters, CNN, CNBC, FT, Asia Times

ที่มารูปภาพ : TNN

avatar

TNNThailand