
สรุปข่าว
วันนี้ (28 เม.ย.) กระทรวงการคลัง ,สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ,สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือการเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนการลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว( Long Term Equity Fund : LTF) ที่จะเปิดให้ลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 สำหรับคนที่จะซื้อกองทุน Thai ESGX หน่วยลงทุนใหม่ และจะเปิดให้คนที่มี LTF อยู่แล้วและต้องการสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF มาเป็นกองทุน Thai ESGX จะเปิดให้ทำการสับเปลี่ยนได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดบริการใหม่ให้ผู้ลงทุนตรวจสอบข้อมูลการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทุกกองทุน จากทุกกองทุนจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แบบรวมศูนย์ผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ตามเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี ตามมาตรการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนโดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุน
ทั้งนี้ ภาครัฐมีมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเงินลงทุนใหม่ในกองทุน Thai ESGX และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF ไป Thai ESGX ในช่วงเวลา2 เดือน คือ พฤษภาคม - มิถุนายน 2568 ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ออกหลักเกณฑ์รองรับจัดตั้งและจัดการ Thai ESGX โดยขณะนี้มี Thai ESGX ให้เลือกลงทุนรวม 37 กองทุน จากบลจ.19 แห่ง ที่อยู่ระหว่างพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้งจากก.ล.ต.
สรุปข่าว
นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภายหลังการทยอยขายหน่วยลงทุนของกองทุน LTF ในช่วงต้นปี 2568 ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย จึงมีการเสนอมาตรการภาษีเพื่อรักษาเสถียรภาพ ยกระดับการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางสำหรับเงินลงทุนใหม่และเงินลงทุนเดิม คือ
1) การลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX และ 2) การลดหย่อนภาษีสำหรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESGX ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการลงทุน เพิ่มจำนวนนักลงทุนที่ตระหนักถึงความยั่งยืน ผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปรับธุรกิจสู่ความยั่งยืนในระยะยาว แม้เบื้องต้นจะประเมินว่า โครงการ Thai ESGX ที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีจะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ภาษีประมาณ 20,000 -30,000 ล้านบาท
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนัก ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. เชื่อมั่นว่า Thai ESGX จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศ พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนลงทุนระยะยาวผ่านตลาดทุน ซึ่งที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้เร่งดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ บลจ. สามารถยื่นขอจัดตั้งและอนุมัติได้ตามช่วงเวลาที่วางไว้ พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุนและ บลจ. รวมทั้งกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ถือหน่วยลงทุน LTF สามารถตรวจสอบหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดที่ตนเองถือครองอยู่ได้ เนื่องจากตามเงื่อนไขในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไป Thai ESGX ให้ครบทุกกองทุน ทุก บลจ. ที่เป็นอีกทางเลือกให้นักลงทุนสมารถเลือกลงทุนเพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษี
ในเบื้องต้น คาดว่าเม็ดเงินใหม่และเก่าจาก LTF จะไหลเข้ามาลงทุนในกองทุน Thai ESGX ที่มีเงื่อนไขกำหนดให้เน้นลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกหรือกิจการในประเทศไทย ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ตามหลักเกณฑ์เดียวกับกองทุน Thai ESG โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV แต่มีกรอบการลงทุนเพิ่มเติม คือ ต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนโดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV ซึ่งคาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณเดือนละประมาณเดือน 10,000 ล้านบาท หากพิจารณาจากปริมาเงินที่ไหลเข้า Thai ESG ก่อนหน้านี้ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท/เดือน รวม 2 เดือนน่าจะมีประมาณ 20,000 ล้านบาท
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะผู้บริหารและจัดการลงทุน เรามุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าการลงทุนของตนจะมีประสิทธิภาพในระยะยาว มีส่วนช่วยรักษาเสถียรภาพตลาดทุนไทย และมีส่วนช่วยผลักดันบริษัทจดทะเบียนไทยให้มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero มีการใส่ใจสังคมและการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล เพื่อร่วมผลักดันให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ ตั้งแต่กองทุน ThaiESG เริ่มจัดตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม 2566 นั้น ได้เห็นพัฒนาการที่ดียิ่งทั้งในมิติการมีส่วนร่วมลงทุนของคนไทยที่ 252,403 ราย ณ สิ้นปี 2567 ส่วนในมิติของการเติบโตของขนาดกองทุน หรือ AUM อยู่ที่ 33,066 ล้านบาท ณ 31 มีนาคม 2568 ขณะที่ มิติความครอบคลุมของบริษัทจดทะเบียนไทยซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 440 บริษัท เติบโตจาก 200 กว่าบริษัทในตอนเริ่มจัดตั้งกองทุน
สำหรับ ThaiESGX นั้น บลจ. 19 แห่ง ได้เตรียมพร้อมนำเสนอ 37 กองทุน ซึ่งผู้สนใจสามารถลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 หรือ แจ้งความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ทั้งหมด ทุกกองทุน ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยสามารถลงทุนและสับเปลี่ยนได้ภายในเดือนมิถุนายน 2568 เท่านั้น โดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุนได้ตั้งเป้าหมายในการระดมเงินลงทุนในกองทุน ThaiESGX ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท จากผู้ลงทุนประมาณ 400,000 ราย ที่คาดจะมีการลงทุนเฉลี่ยรายละ 300,000 - 400,000 บาท/ราย ซึ่งคาดว่าคนส่วนใหญ่ 80% ที่ถือลงทุน LTF ต่ำกว่า 500,000 บาท จะโยกมาลงทุน ThaiESGX เนื่องจากเงื่อนไขจูงใจ และถือลงทุนเพียง 5 ปี นับวันชนวัน (จากวันที่ซื้อลงทุน) บวกกับผลตอบแทนที่น่าจะสูงจูงใจ
จากปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาทำให้ค่าเฉลี่ย P/E ต่ำกว่า -2SD ทำให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล(Dividend Yield) มาอยู่ที่ประมาณ 4.5% จากปกติหุ้นไทยจะมี Dividend Yield อยู่ที่ 3% และเมื่อมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาทำให้ P/E จะกลับไประดับเดิมก่อนปรับลงมา จึงเชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะอยู่ในระดับ 2 หลัก (Double Digit) และยิ่งลงทุนนาน 3-5 ปี ผลตอบแทนจะยิ่งสูงและยังได้สิทธิลดหย่อยภาษีด้วย หลังตลาดตอบรับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว
ด้าน นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความพร้อมในการให้บริการข้อมูล LTF แก่ผู้ลงทุนผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะสามารถดูภาพรวมการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดของตนเองจากทุก บลจ. ได้ในที่เดียว ทำให้สามารถตรวจสอบข้อมูลและพิจารณาตัดสินใจสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX เพื่อสิทธิลดหย่อนทางภาษีได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ขยายบริการเรียกดูข้อมูลให้ครอบคลุมกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทอื่นๆ
อาทิ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund :RMF), กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (Super Saving Funds : SSF) และ Thai ESG เพื่อความสะดวกแก่ผู้ลงทุนในการตรวจสอบและบริหารจัดการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดย ตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดหวังว่าเม็ดเงินในกองทุน LTF ที่ค้างอยู่ในปัจจุบันประมาณ 150,000 - 160,000 ล้านบาท จะโยกเข้ามาลงทุนในตลดหุ้นไทยผ่าน Thai ESGX ซึ่งปัจจุบันพบว่าแรงขาย LTF ชะลอลงแล้ว หลังครม.มีมติออกมาตรการในโคงการ Thai ESGX
"ความคาดหวัง คือ จะมี LTF โยกมา Thai ESGX ที่จะช่วยลดแรงขาย LTF จากช่วงที่ผ่านมา ถ้าสังเกต 2-3 เดือนที่ผ่านมาหลังที่ครม.อนุมัติมาตรการที่ผ่านมา แรงขายน้อยลงจริงๆ จึงคาดจะมีการโยกมาที่ Thai ESGX ค่อนข้างเยอะ เพราะโดยพื้นฐานตลาดทุนไทยดัชนีนิ่งขึ้น แม้จะมีสงครามการค้าในช่วง 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ตลาดไทยตกน้อยลงตลาดภูมิภาค ซึ่งหุ้นไทยรับความเสี่ยงจากปัจจัยลบไปมากแล้วการปรับลงน่าจะจำกัด และมาตรการภาษีของสหรัฐตลาดก็รับข่าวไปพอสมควรแล้ว จึงเห็นแรงขายชะลอล และมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่อง จากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ " นายอัสสเดช กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจลงทุนใน Thai ESGX เริ่มซื้อได้ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 ได้วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี (วันชนวัน นับแต่วันที่ลงทุน) ขณะที่ ผู้ที่ถือหน่วยลงทุน LTF ที่แจ้งความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม ทั้งหมดใน LTF ทุกกองทุนในทุก บลจ. มาเป็นหน่วยลงทุนของ Thai ESGX ในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2568 จะได้วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท โดยในปี 2568 ได้วงเงินลดหย่อน 300,000 บาท และในปี 2569 - 2572 จะได้รับลดหย่อนเป็นจำนวนเท่า ๆ กันในแต่ละปีภาษี ปีละ 50,000 บาท)
ที่มาข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ที่มารูปภาพ : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย