ชี้ Thai ESGX ผลตอบแทนจากการลงทุนสูง 2 หลัก ช่วยดัชนีหุ้นไทยลงจำกัด

ชี้ Thai ESGX ผลตอบแทนจากการลงทุนสูง 2 หลัก ช่วยดัชนีหุ้นไทยลงจำกัด

สรุปข่าว

กองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESGX เริ่มซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เลือกลงทุนได้ทั้งหมด 37 กองทุนจาก บลจ. 19 ส่วนนักลงทุนที่ถือ LTF อยู่แล้วและต้องการสับเปลี่ยนมาเป็น Thai ESGX เพื่อรับสิทธิทางภาษี เริ่มสับเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 13 พฤษภาคม 2568 คาดมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยให้ปรับลงจำกัด คาดให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงระดับ 2 หลักหากดัชนีดีดกลับมาระดับเดิม

วันนี้ (28 เม.ย.) กระทรวงการคลัง ,สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ,สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าวความร่วมมือการเตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนการลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว( Long Term Equity Fund : LTF) ที่จะเปิดให้ลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 สำหรับคนที่จะซื้อกองทุน Thai ESGX หน่วยลงทุนใหม่ และจะเปิดให้คนที่มี LTF อยู่แล้วและต้องการสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF มาเป็นกองทุน Thai ESGX จะเปิดให้ทำการสับเปลี่ยนได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 


นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดบริการใหม่ให้ผู้ลงทุนตรวจสอบข้อมูลการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทุกกองทุน จากทุกกองทุนจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แบบรวมศูนย์ผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ตามเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษี ตามมาตรการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนโดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุน 


ทั้งนี้ ภาครัฐมีมาตรการการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) และเพิ่มเสถียรภาพตลาดทุนไทย โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเงินลงทุนใหม่ในกองทุน Thai ESGX และการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนกองทุน LTF ไป Thai ESGX ในช่วงเวลา2 เดือน คือ พฤษภาคม - มิถุนายน 2568 ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ออกหลักเกณฑ์รองรับจัดตั้งและจัดการ Thai ESGX โดยขณะนี้มี Thai ESGX ให้เลือกลงทุนรวม 37 กองทุน จากบลจ.19 แห่ง ที่อยู่ระหว่างพิจารณาคำขออนุมัติจัดตั้งจากก.ล.ต. 

สรุปข่าว

กองทุนลดหย่อนภาษี Thai ESGX เริ่มซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 เลือกลงทุนได้ทั้งหมด 37 กองทุนจาก บลจ. 19 ส่วนนักลงทุนที่ถือ LTF อยู่แล้วและต้องการสับเปลี่ยนมาเป็น Thai ESGX เพื่อรับสิทธิทางภาษี เริ่มสับเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 13 พฤษภาคม 2568 คาดมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยให้ปรับลงจำกัด คาดให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงระดับ 2 หลักหากดัชนีดีดกลับมาระดับเดิม

นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภายหลังการทยอยขายหน่วยลงทุนของกองทุน LTF ในช่วงต้นปี 2568 ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย จึงมีการเสนอมาตรการภาษีเพื่อรักษาเสถียรภาพ ยกระดับการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืน (ESG) โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางสำหรับเงินลงทุนใหม่และเงินลงทุนเดิม คือ 


1) การลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX และ 2) การลดหย่อนภาษีสำหรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุน LTF เป็นกองทุน Thai ESGX ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการลงทุน เพิ่มจำนวนนักลงทุนที่ตระหนักถึงความยั่งยืน ผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปรับธุรกิจสู่ความยั่งยืนในระยะยาว แม้เบื้องต้นจะประเมินว่า โครงการ Thai ESGX ที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีจะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ภาษีประมาณ 20,000 -30,000 ล้านบาท  


นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนัก ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. เชื่อมั่นว่า Thai ESGX จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืนของประเทศ พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนลงทุนระยะยาวผ่านตลาดทุน ซึ่งที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้เร่งดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ บลจ. สามารถยื่นขอจัดตั้งและอนุมัติได้ตามช่วงเวลาที่วางไว้ พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุนและ บลจ. รวมทั้งกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ถือหน่วยลงทุน  LTF สามารถตรวจสอบหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดที่ตนเองถือครองอยู่ได้ เนื่องจากตามเงื่อนไขในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไป Thai ESGX ให้ครบทุกกองทุน ทุก บลจ. ที่เป็นอีกทางเลือกให้นักลงทุนสมารถเลือกลงทุนเพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษี 


ในเบื้องต้น คาดว่าเม็ดเงินใหม่และเก่าจาก LTF จะไหลเข้ามาลงทุนในกองทุน Thai ESGX ที่มีเงื่อนไขกำหนดให้เน้นลงทุนในทรัพย์สินที่ออกโดยผู้ออกหรือกิจการในประเทศไทย ที่มีคุณสมบัติด้านความยั่งยืน ตามหลักเกณฑ์เดียวกับกองทุน Thai ESG โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV แต่มีกรอบการลงทุนเพิ่มเติม คือ ต้องลงทุนในหุ้นกลุ่มความยั่งยืนโดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV ซึ่งคาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณเดือนละประมาณเดือน 10,000 ล้านบาท หากพิจารณาจากปริมาเงินที่ไหลเข้า Thai ESG ก่อนหน้านี้ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท/เดือน  รวม 2 เดือนน่าจะมีประมาณ 20,000 ล้านบาท  

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะผู้บริหารและจัดการลงทุน เรามุ่งมั่นทำงานเพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าการลงทุนของตนจะมีประสิทธิภาพในระยะยาว มีส่วนช่วยรักษาเสถียรภาพตลาดทุนไทย และมีส่วนช่วยผลักดันบริษัทจดทะเบียนไทยให้มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero มีการใส่ใจสังคมและการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล เพื่อร่วมผลักดันให้ประเทศไทยมีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ ตั้งแต่กองทุน ThaiESG เริ่มจัดตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม 2566 นั้น ได้เห็นพัฒนาการที่ดียิ่งทั้งในมิติการมีส่วนร่วมลงทุนของคนไทยที่ 252,403 ราย ณ สิ้นปี 2567 ส่วนในมิติของการเติบโตของขนาดกองทุน หรือ AUM อยู่ที่ 33,066 ล้านบาท ณ 31 มีนาคม 2568 ขณะที่ มิติความครอบคลุมของบริษัทจดทะเบียนไทยซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 440 บริษัท เติบโตจาก 200 กว่าบริษัทในตอนเริ่มจัดตั้งกองทุน  


สำหรับ ThaiESGX นั้น บลจ. 19 แห่ง ได้เตรียมพร้อมนำเสนอ 37 กองทุน ซึ่งผู้สนใจสามารถลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 หรือ แจ้งความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ที่มีอยู่ทั้งหมด ทุกกองทุน ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 โดยสามารถลงทุนและสับเปลี่ยนได้ภายในเดือนมิถุนายน 2568 เท่านั้น  โดยอุตสาหกรรมจัดการลงทุนได้ตั้งเป้าหมายในการระดมเงินลงทุนในกองทุน ThaiESGX ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท จากผู้ลงทุนประมาณ 400,000 ราย ที่คาดจะมีการลงทุนเฉลี่ยรายละ 300,000 - 400,000 บาท/ราย ซึ่งคาดว่าคนส่วนใหญ่ 80% ที่ถือลงทุน LTF ต่ำกว่า 500,000 บาท จะโยกมาลงทุน ThaiESGX เนื่องจากเงื่อนไขจูงใจ และถือลงทุนเพียง 5 ปี นับวันชนวัน (จากวันที่ซื้อลงทุน) บวกกับผลตอบแทนที่น่าจะสูงจูงใจ 


จากปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาทำให้ค่าเฉลี่ย P/E ต่ำกว่า -2SD ทำให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล(Dividend Yield) มาอยู่ที่ประมาณ 4.5% จากปกติหุ้นไทยจะมี Dividend Yield อยู่ที่ 3% และเมื่อมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาทำให้  P/E จะกลับไประดับเดิมก่อนปรับลงมา จึงเชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะอยู่ในระดับ 2 หลัก (Double Digit) และยิ่งลงทุนนาน 3-5 ปี ผลตอบแทนจะยิ่งสูงและยังได้สิทธิลดหย่อยภาษีด้วย หลังตลาดตอบรับปัจจัยลบไปพอสมควรแล้ว 


ด้าน นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความพร้อมในการให้บริการข้อมูล LTF แก่ผู้ลงทุนผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะสามารถดูภาพรวมการถือครองหน่วยลงทุน LTF ทั้งหมดของตนเองจากทุก บลจ. ได้ในที่เดียว ทำให้สามารถตรวจสอบข้อมูลและพิจารณาตัดสินใจสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เป็น Thai ESGX เพื่อสิทธิลดหย่อนทางภาษีได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนต่อยอดความร่วมมือกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ขยายบริการเรียกดูข้อมูลให้ครอบคลุมกองทุนลดหย่อนภาษีประเภทอื่นๆ 


อาทิ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund :RMF), กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (Super Saving Funds : SSF) และ Thai ESG เพื่อความสะดวกแก่ผู้ลงทุนในการตรวจสอบและบริหารจัดการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดย ตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดหวังว่าเม็ดเงินในกองทุน LTF ที่ค้างอยู่ในปัจจุบันประมาณ 150,000 - 160,000 ล้านบาท จะโยกเข้ามาลงทุนในตลดหุ้นไทยผ่าน Thai ESGX ซึ่งปัจจุบันพบว่าแรงขาย LTF ชะลอลงแล้ว หลังครม.มีมติออกมาตรการในโคงการ Thai ESGX


"ความคาดหวัง คือ จะมี LTF โยกมา Thai ESGX ที่จะช่วยลดแรงขาย LTF จากช่วงที่ผ่านมา ถ้าสังเกต 2-3 เดือนที่ผ่านมาหลังที่ครม.อนุมัติมาตรการที่ผ่านมา แรงขายน้อยลงจริงๆ จึงคาดจะมีการโยกมาที่ Thai ESGX ค่อนข้างเยอะ  เพราะโดยพื้นฐานตลาดทุนไทยดัชนีนิ่งขึ้น แม้จะมีสงครามการค้าในช่วง 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ตลาดไทยตกน้อยลงตลาดภูมิภาค ซึ่งหุ้นไทยรับความเสี่ยงจากปัจจัยลบไปมากแล้วการปรับลงน่าจะจำกัด และมาตรการภาษีของสหรัฐตลาดก็รับข่าวไปพอสมควรแล้ว จึงเห็นแรงขายชะลอล และมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่อง จากนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ "  นายอัสสเดช กล่าว 


ทั้งนี้ ผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจลงทุนใน Thai ESGX  เริ่มซื้อได้ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568 ได้วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท โดยต้องถือครองหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี (วันชนวัน นับแต่วันที่ลงทุน) ขณะที่ ผู้ที่ถือหน่วยลงทุน LTF ที่แจ้งความประสงค์สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF เดิม ทั้งหมดใน LTF ทุกกองทุนในทุก บลจ. มาเป็นหน่วยลงทุนของ Thai ESGX ในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2568 จะได้วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท โดยในปี 2568 ได้วงเงินลดหย่อน  300,000 บาท และในปี 2569 - 2572 จะได้รับลดหย่อนเป็นจำนวนเท่า ๆ กันในแต่ละปีภาษี ปีละ 50,000 บาท)