พิชัยดันข้าวอินทรีย์นครพนมสู่ตลาดโลก หนุนเกษตรกรสร้างรายได้ยั่งยืน

พิชัยดันข้าวอินทรีย์นครพนมสู่ตลาดโลก หนุนเกษตรกรสร้างรายได้ยั่งยืน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการลงพื้นที่จังหวัดนครพนม ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ตนได้ประชุมหารือกับผู้ประกอบการและกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่จากจังหวัดนครพนมและพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้า กลุ่ม Young Smart Farmer เครือข่าย Moc Biz Club กลุ่ม YEC และวิสาหกิจชุมชน ณ บริษัทข้าวสุข นครพนม จำกัด ซึ่งเป็นวิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าว ตำบลบ้านผึ้ง จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 เพื่อรับฟังข้อคิดเห็น ปัญหา และอุปสรรคจากภาคเอกชน รวมถึงแนวทางส่งเสริมตลาดสินค้าเกษตร เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs และ Micro SMEs ในพื้นที่ 

โดยการหารือครั้งนี้ได้เน้นติดตามสถานการณ์และแนวทางการพัฒนาสินค้าเกษตรสำคัญ อาทิ ข้าวหอมมะลิ มันสำปะหลัง และสินค้าอัตลักษณ์ (GI) ของพื้นที่ เช่น สับปะรดท่าอุเทน และลิ้นจี่นครพนม ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ให้การส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง

สรุปข่าว

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ หารือผู้ประกอบการ-เกษตรกรรุ่นใหม่ที่นครพนม ผลักดันข้าวอินทรีย์คุณภาพสูงสู่ตลาดโลก เพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืน กระทรวงพาณิชย์เตรียมสนับสนุนการเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้ส่งออกและเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ ขยายตลาดข้าวอินทรีย์ไทย พร้อมส่งเสริมสินค้า GI เช่น สับปะรดท่าอุเทนและลิ้นจี่นครพนม โดยประสานตลาดและกระจายผลผลิตในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการลงพื้นที่จังหวัดนครพนม ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ตนได้ประชุมหารือกับผู้ประกอบการและกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่จากจังหวัดนครพนมและพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้า กลุ่ม Young Smart Farmer เครือข่าย Moc Biz Club กลุ่ม YEC และวิสาหกิจชุมชน ณ บริษัทข้าวสุข นครพนม จำกัด ซึ่งเป็นวิสาหกิจชุมชนแปรรูปข้าว ตำบลบ้านผึ้ง จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 เพื่อรับฟังข้อคิดเห็น ปัญหา และอุปสรรคจากภาคเอกชน รวมถึงแนวทางส่งเสริมตลาดสินค้าเกษตร เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs และ Micro SMEs ในพื้นที่ 

โดยการหารือครั้งนี้ได้เน้นติดตามสถานการณ์และแนวทางการพัฒนาสินค้าเกษตรสำคัญ อาทิ ข้าวหอมมะลิ มันสำปะหลัง และสินค้าอัตลักษณ์ (GI) ของพื้นที่ เช่น สับปะรดท่าอุเทน และลิ้นจี่นครพนม ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ให้การส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง

นายพิชัย กล่าวว่า ท่ามกลางความผันผวนของตลาดโลก จำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยต้องพัฒนาสินค้าเกษตรให้ขายได้แพงขึ้น เร่งสร้างแบรนด์สินค้าเกษตรที่มีจุดเด่นให้เป็นที่รู้จักในเวทีโลก เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดหลักประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะข้าวอินทรีย์คุณภาพสูงของนครพนม เช่น ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวฮางงอก และข้าวกล้อง ซึ่งมีศักยภาพสูง กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปสนับสนุนตั้งแต่การเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้ส่งออกโดยตรง การขยายตลาดใหม่ ตลอดจนผลักดันให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในระดับสากล เช่น งาน BIOFACH ที่เยอรมนี และ Thaifex – Anuga Asia ที่ประเทศไทย

สำหรับสับปะรดท่าอุเทนและลิ้นจี่นครพนม ซึ่งผลผลิตออกมากในช่วงเมษายนถึงพฤษภาคม กระทรวงฯ ได้ประสานเชื่อมโยงการตลาด ทั้งกับผู้ประกอบการในพื้นที่และการกระจายผลผลิตไปยังจังหวัดอื่น พร้อมมอบหมายสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครพนมประสานงานอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน เครือข่าย MOC BIZ Club และกลุ่มเกษตรกร เพื่อผลักดันการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง


“ผมเห็นศักยภาพของข้าวหอมมะลิอินทรีย์ของไทยที่จะเติบโตได้อีกมาก ข้าวที่ปลูกแบบอินทรีย์ปลอดภัยต่อสุขภาพและได้รับความต้องการสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้สูง หากไทยสามารถเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป(EU)ได้สำเร็จ ความต้องการข้าวอินทรีย์จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า สิ่งสำคัญคือ สินค้าจะต้องมีระบบตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคต่างประเทศ” นายพิชัยกล่าว 

ที่มาข้อมูล : กระทรวงพาณิชย์

ที่มารูปภาพ : กระทรวงพาณิชย์

แท็กบทความ