
UPS ประกาศเมื่อวันอังคาร (29 เม.ย.)ที่ผ่านมา ว่า จะปิดศูนย์กระจายสินค้า 73 แห่ง เนื่องจากมีแผนลดปริมาณการจัดส่งสินค้าให้กับบริษัทอะเมซอนดอตคอม (Amazon.com) และได้รับผลกระทบจากนโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ปัจจุบัน UPS มีพนักงานในสหรัฐฯ ราว 406,000 คน โดยมากกว่า 75% เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน
โฆษกของ UPS ระบุว่า การปลดพนักงานเกิดจากการลดจัดส่งสินค้าให้กับอะเมซอนลง 50% ซึ่งอะเมซอนถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัท รวมถึงความพยายามลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานภายใต้การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
สรุปข่าว
UPS ประกาศเมื่อวันอังคาร (29 เม.ย.)ที่ผ่านมา ว่า จะปิดศูนย์กระจายสินค้า 73 แห่ง เนื่องจากมีแผนลดปริมาณการจัดส่งสินค้าให้กับบริษัทอะเมซอนดอตคอม (Amazon.com) และได้รับผลกระทบจากนโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ปัจจุบัน UPS มีพนักงานในสหรัฐฯ ราว 406,000 คน โดยมากกว่า 75% เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน
โฆษกของ UPS ระบุว่า การปลดพนักงานเกิดจากการลดจัดส่งสินค้าให้กับอะเมซอนลง 50% ซึ่งอะเมซอนถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของบริษัท รวมถึงความพยายามลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานภายใต้การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
ด้านโฆษกของอะเมซอนกล่าวว่า UPS ได้ขอลดปริมาณการจัดส่งสินค้าลงเนื่องจากความจำเป็นด้านการดำเนินงาน และทางอะเมซอนก็เคารพการตัดสินใจนั้น
นอกจากนี้ UPS ยังเผชิญกับการลดปริมาณการจัดส่งสินค้าจากผู้ประกอบการด้านอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน เช่น เทมู (Temu) และชีอิน (Shein) เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมยกเลิกสิทธิ์ปลอดภาษีสำหรับพัสดุส่วนใหญ่ที่ส่งเข้ามายังสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนพ.ค.เป็นต้นไป โดยเทมูได้เริ่มเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนำเข้าแล้ว และชีอินก็ได้รวมภาษีนำเข้าไว้กับราคาสินค้าเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในขณะที่นโยบายการค้ารุนแรงของทรัมป์เริ่มส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว และเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ UPS ให้บริการในหลากหลายอุตสาหกรรมในฐานะบริษัทจัดส่งพัสดุรายใหญ่ที่สุดของโลก และมักถูกใช้เป็นตัวชี้วัดสภาพเศรษฐกิจโลก ขณะที่เฟดเอ็กซ์ (FedEx) ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของ UPS ก็ส่งสัญญาณชะลอตัวเช่นกันในเดือนมี.ค.