
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ว่า สถานการณ์การจ้างงานลดลงต่อเนื่อง อัตราการว่างงานลดลง หนี้สินครัวเรือน (ไตรมาสสี่ ปี 2567) มีมูลค่า 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัวในอัตราชะลอลง 0.2% ซึ่งชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่หดติดต่อกันจากความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่ให้สินเชื่อลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปรับลดลง 88.4% จาก 88.9% ในไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับประเด็นหนี้สินครัวเรือนที่ควรให้ความสำคัญ 2 ประเด็นหลัก คือ 1.คนไทยมีพฤติกรรรมการบริโภคแบบติดหรูซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้เกินตัวได้ง่าย จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2567 พบว่า คนไทย 1 ใน 3 นิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรู (Luxury) และบริการระดับพรีเมียม อาทิ อาหารเครื่องดื่ม บัตรคอนเสิร์ต บริการเสริมความงามของสะสม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและการยอมรับจากสังคม ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการก่อหนี้เกินตัว โดยสาเหตุมาจากความต้องการได้รับการยอมรับและได้แสดงสถานะทางสังคม โดยเพศชายมีควา ต้องการโดดเด่นที่มากกว่าเพศหญิง ซึ่งสินค้าที่นิยมซื้อแบบติดหรูได้แก่ อุปกรณ์เทคโนโลยี ขณะที่เพศหญิงญิงนิยมซื้อสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยในสัดส่วน 50% มีเงินออมสำหรับยามฉุกเฉินน้อยกว่า 6 เดือน ทำให้มีแนวโน้มเข้าสู่วงจรหนี้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดอยหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สะท้อนปัญหาการขาดความรู้ และการวางแผนทางการเงินที่เหมาะสม
สรุปข่าว
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ว่า สถานการณ์การจ้างงานลดลงต่อเนื่อง อัตราการว่างงานลดลง หนี้สินครัวเรือน (ไตรมาสสี่ ปี 2567) มีมูลค่า 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัวในอัตราชะลอลง 0.2% ซึ่งชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่หดติดต่อกันจากความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ที่ให้สินเชื่อลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปรับลดลง 88.4% จาก 88.9% ในไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับประเด็นหนี้สินครัวเรือนที่ควรให้ความสำคัญ 2 ประเด็นหลัก คือ 1.คนไทยมีพฤติกรรรมการบริโภคแบบติดหรูซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้เกินตัวได้ง่าย จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2567 พบว่า คนไทย 1 ใน 3 นิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรู (Luxury) และบริการระดับพรีเมียม อาทิ อาหารเครื่องดื่ม บัตรคอนเสิร์ต บริการเสริมความงามของสะสม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและการยอมรับจากสังคม ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการก่อหนี้เกินตัว โดยสาเหตุมาจากความต้องการได้รับการยอมรับและได้แสดงสถานะทางสังคม โดยเพศชายมีควา ต้องการโดดเด่นที่มากกว่าเพศหญิง ซึ่งสินค้าที่นิยมซื้อแบบติดหรูได้แก่ อุปกรณ์เทคโนโลยี ขณะที่เพศหญิงญิงนิยมซื้อสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยในสัดส่วน 50% มีเงินออมสำหรับยามฉุกเฉินน้อยกว่า 6 เดือน ทำให้มีแนวโน้มเข้าสู่วงจรหนี้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดอยหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สะท้อนปัญหาการขาดความรู้ และการวางแผนทางการเงินที่เหมาะสม
2. การผลักดันให้สหกรณ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครดิตบูโร จากข้อมูลของกรมส่งเสริมสหกรณ์ในปี 2567 พบว่า สหกรณ์ทุกประเภทมีการปล่อยกู้ให้กับสมาชิกมูลค่า 1.3 ล้านล้านบาท แต่สหกรณ์ที่เป็นสมาชิกเครดิตบูโรยังมีจำนวนน้อย ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนทำได้ยาก นอกจากนี้ จากข้อมูลของเครดิตบุโรในไตรมาสสาม ปี 2567 พบว่า หนี้เสียของลูกหนี้สหกรณ์มีการขยายตัวสูงที่สุดเมื่อเทียบกับลูกหนี้ประเภทอื่น โดยสมาชิกส่วนใหญ่ของสหกรณ์ประกอบอาชีพข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือกลุ่มเกษตรกร ที่มีความเสี่ยง ก่อหนี้ช้าซ้อนหากไม่มีวินัยทางการเงินที่ดี โดยกรณีการเข้าร่วมเครดิตบูโรของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูประจวบคีรีขันธ์พบว่าสามารถปรับพฤติกรรมทางการเงิน ผ่านการให้คำปรึกษา การประเมินข้อมูลเครดิต และประสานข้อมูลกับสถาบันทางการเงินอื่น เพื่อให้สมาชิกสามารถเข้าถึงสินเชื่อทีเหมาะสมกับศักยภาพของตนเองได้ การเชื่อมโยงข้อมูลกับเครดิตบูโรจึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สามารถช่วยให้ประชาชนสามารถหลุดจากปัญหาหนี้สิน รวมถึงเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรม ดังนั้น ภาครัฐควรผลักดันเชิงนโยบายให้สหกรณ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกกับเครดิตบูโร เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมความมั่นคงทางการเงินของ ประชาชนในระยะยาว
ขณะที่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่แย่ลง สำหรับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอฮอล์ และบุหรี่ การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวัง และการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอสถานการณ์ทางสังคมที่น่าสนใจ 3 เรื่อง ได้แก่ 1. ช่องว่าง Soft Skils ในตลาดแรงงานไทย 2. OTT : บริการสื่อสมัยใหม่ควรต้องกำกับดูแลอย่างไร? และ 3. เมื่อการเฝ้าระวังและรับมือกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่น(Alien Species) รวมทั้งนำเสนอบทความเรื่อง “กรณีศึกษาการรับมือแผ่นดินไหวในต่างประเทศ”
สถานการณ์แรงงานไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 ปรับตัวลดลง โดยภาคเกษตรกรรมมีการจ้างงานลดลงต่อเนื่อง ส่วนนอกภาคเกษตรขยายตัวได้เล็กน้อย แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับความอยู่รอดของ SMES จากการขาดการประยุกต์ใช้เทคโบโลยีและนวัตกรรม เด็กจบใหม่ที่อาจเสี่ยงตกงาน รวมถึงการสร้างไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.4 ล้านคน ลดลงจากไตรมาสหนึ่งของปี 2567 ที่ 0.5% จากการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ลดลงอย่างต่อเนื่องที่ 3.1% แต่นอกภาคเกษตรกรรมปรับตัวดีขึ้น เล็กน้อยที่ 0.5% โดยเฉพาะสาขาโรงแรมและภัตตาคารยังคงขยายตัวได้ที่ 3.5% แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเริ่มลดลง เช่นเดียวกับสาขาการขนส่งและเก็บสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.5% ขณะที่การจ้างงานในสาขาการผลิตเริ่มหดตัวลงเล็กน้อยที่ 0.4%
นอกจากนี้ในภาพรวมชั่วโมงการทำงานของแรงงานลดชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยภาคเอกชนอยู่ที่ 44.0 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับผู้ทำงานล่วงเวลาลดลง 5.0% ขณะที่ ผู้ทำงานต่ำระดับลดลง 7.9% อัตราการว่างงานลดลง มาอยู่ที่0.88% จากไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 ที่อยู่ที่ 1.01% ซึ่งมีผู้ว่างงานประมาณ 3.6 แสนคน ลดลงในกลุ่มที่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือต่ำกว่า เช่นเดียวกับผู้ว่างงานระยะยาวที่ลดลง 14.3% หรือมีจำนวน 6.8 หมื่นคน โดยกลุ่มผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนกว่า 74.3% ว่างานเพราะหางานไม่ไม่ได้ ทั้งนี้ ผู้เสมือนว่างงานมีจำนวนกว่า 4.3 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากก่อนถึง 14.6%
ส่วน ประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ ได้แก่ 1. การประยุกต์ใช้นวัตกรรมเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจSMEs 2.การสร้างหลักประกันกรณีถูกเลิกจ้างให้แก่แรงงาน โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานให้แก่ลูกจ้างเมื่อมีการเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิด แต่ที่ผ่านมามีลูกจ้างไม่ได้รับการจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานประกอบการจากต่างประเทศ จึงควรมีการศึกษาและกำหนดมาตรการที่ชัดเจนเพื่อให้ลูกจ้างได้รับการชดเชยอย่างที่ควรจะเป็นและ 3.เด็กจบใหม่อาจเสี่ยงต่อการตกงาน ซึ่งผลสำรวจ พบว่า ผู้บริหารกว่า 89% มีแนวโน้มที่จะเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ เพราะมองว่าขาดประสบการณ์ ทักษะ และมีมารยาททางธุรกิจที่ไม่ดีนัก และเลือกที่จะหันไปจ้างฟรีแลนซ์/พนักงานที่เกษียณไปแล้วทดแทน หรือปล่อยให้ตำแหน่งว่าง ดังนั้น เด็กจบใหม่จึงควรเตรียมความพร้อมของตนเอง ทั้งด้านทักษะและทัศนคติขณะที่ภาคการศึกษาต้องเร่งปรับรูปแบบการเรียนการสอน