ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ธุรกิจ SMEs เป็นหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งภาคการผลิต การค้า และการบริการ รวมถึงมีความเชื่อมโยงทางซัพพลายเชนกับธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากธุรกิจ SMEs ของไทย มีมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 6.5 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) และเป็นแหล่งการจ้างงานกว่าร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมด
โดยผู้ประกอบการไทยกว่า 3.2 ล้านราย หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.5 ของผู้ประกอบการทั้งหมด เป็น SMEs ที่มีการกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้น SMEs จึงมีบทบาทสำคัญในการกระจายรายได้ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
แม้ธุรกิจ SMEs จะมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของไทย แต่เป็นแรงขับเคลื่อน GDP เพียง 1 ใน 3 ของประเทศ หรือมีสัดส่วนของ SMEs ต่อ GDP อยู่ที่ราวร้อยละ 35 เป็นระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นสาเหตุที่ส่งผลให้สัดส่วนการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของ SMEs ไทยยังอยู่ในระดับต่ำ และกระทบต่อประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันในเวทีภูมิภาคให้ยังเป็นรองคู่แข่งสำคัญในอาเซียน
สำหรับปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มของ SMEs ไทยคือ
1. ผลิตภาพและมูลค่าเพิ่มของสินค้า/บริการต่ำ โดยธุรกิจ SMEs ในภาคการค้าและบริการของไทยที่พึ่งพาตลาดในประเทศเป็นหลัก ยังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมมากกว่าในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจที่ครอบคลุมตลอดซัพพลายเชน ทำให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการต้นทุนและการตั้งราคาได้ดีกว่า รวมถึงช่องทางการทำตลาด/การเข้าถึงลูกค้าหลากหลายกว่า
ขณะที่ ธุรกิจ SMEs ในภาคการผลิต ก็มีบทบาทเป็นเพียง Subcontractors หรือ Distributors ของธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ทำให้การมีส่วนร่วมและการสร้างมูลค่าเพิ่มใน Global supply chain น้อย สะท้อนจากธุรกิจ SMEs ในภาคการผลิตของไทยมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกอยู่เพียง 7% ของการส่งออกรวมในภาคการผลิตทั้งหมด
2. การเข้าถึงแหล่งเงินทุนทำได้จำกัด ถึงแม้ไทยจะมีธุรกิจที่เป็น SMEs จำนวนมาก หรือคิดเป็นกว่าร้อยละ 99 ของผู้ประกอบการทั้งหมด แต่ด้วยสายป่านสั้น ความยืดหยุ่นในการปรับตัวมีจำกัด และกว่าร้อยละ 70 อยู่นอกระบบและเป็นผู้ประกอบการรายย่อย
ดังนั้น เมื่อเผชิญกับปัญหาหรือปัจจัยกดดันต่าง ๆ จึงทำให้ความสามารถในการแข่งขันหรือทำกำไรของ SMEs มีความเสี่ยง และส่งผลต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุน สะท้อนจากการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs คิดเป็นเพียง 1 ใน 5 ของสินเชื่อรวมในระบบธนาคารพาณิชย์
3. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดยังน้อย เนื่องจากธุรกิจ SMEs มีข้อจำกัดทางด้านเงินทุน องค์ความรู้ และแรงงานทักษะสูงมีอยู่น้อย สะท้อนจากกว่าร้อยละ 70 ของธุรกิจ SMEs ไทย ยังคงใช้เทคโนโลยีในระดับ 2.0 (เช่น การสั่งซื้อออนไลน์ ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์) ทำให้เสียเปรียบจากการแข่งขันทั้งในประเทศ โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ รวมถึงการแข่งขันกับต่างประเทศยังทำได้ยาก
สรุปข่าว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ธุรกิจ SMEs เป็นหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งภาคการผลิต การค้า และการบริการ รวมถึงมีความเชื่อมโยงทางซัพพลายเชนกับธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากธุรกิจ SMEs ของไทย มีมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 6.5 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) และเป็นแหล่งการจ้างงานกว่าร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั้งหมด
โดยผู้ประกอบการไทยกว่า 3.2 ล้านราย หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 99.5 ของผู้ประกอบการทั้งหมด เป็น SMEs ที่มีการกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้น SMEs จึงมีบทบาทสำคัญในการกระจายรายได้ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
แม้ธุรกิจ SMEs จะมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของไทย แต่เป็นแรงขับเคลื่อน GDP เพียง 1 ใน 3 ของประเทศ หรือมีสัดส่วนของ SMEs ต่อ GDP อยู่ที่ราวร้อยละ 35 เป็นระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นสาเหตุที่ส่งผลให้สัดส่วนการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของ SMEs ไทยยังอยู่ในระดับต่ำ และกระทบต่อประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันในเวทีภูมิภาคให้ยังเป็นรองคู่แข่งสำคัญในอาเซียน
สำหรับปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มของ SMEs ไทยคือ
1. ผลิตภาพและมูลค่าเพิ่มของสินค้า/บริการต่ำ โดยธุรกิจ SMEs ในภาคการค้าและบริการของไทยที่พึ่งพาตลาดในประเทศเป็นหลัก ยังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมมากกว่าในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจที่ครอบคลุมตลอดซัพพลายเชน ทำให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการต้นทุนและการตั้งราคาได้ดีกว่า รวมถึงช่องทางการทำตลาด/การเข้าถึงลูกค้าหลากหลายกว่า
ขณะที่ ธุรกิจ SMEs ในภาคการผลิต ก็มีบทบาทเป็นเพียง Subcontractors หรือ Distributors ของธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ทำให้การมีส่วนร่วมและการสร้างมูลค่าเพิ่มใน Global supply chain น้อย สะท้อนจากธุรกิจ SMEs ในภาคการผลิตของไทยมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกอยู่เพียง 7% ของการส่งออกรวมในภาคการผลิตทั้งหมด
2. การเข้าถึงแหล่งเงินทุนทำได้จำกัด ถึงแม้ไทยจะมีธุรกิจที่เป็น SMEs จำนวนมาก หรือคิดเป็นกว่าร้อยละ 99 ของผู้ประกอบการทั้งหมด แต่ด้วยสายป่านสั้น ความยืดหยุ่นในการปรับตัวมีจำกัด และกว่าร้อยละ 70 อยู่นอกระบบและเป็นผู้ประกอบการรายย่อย
ดังนั้น เมื่อเผชิญกับปัญหาหรือปัจจัยกดดันต่าง ๆ จึงทำให้ความสามารถในการแข่งขันหรือทำกำไรของ SMEs มีความเสี่ยง และส่งผลต่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุน สะท้อนจากการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs คิดเป็นเพียง 1 ใน 5 ของสินเชื่อรวมในระบบธนาคารพาณิชย์
3. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดยังน้อย เนื่องจากธุรกิจ SMEs มีข้อจำกัดทางด้านเงินทุน องค์ความรู้ และแรงงานทักษะสูงมีอยู่น้อย สะท้อนจากกว่าร้อยละ 70 ของธุรกิจ SMEs ไทย ยังคงใช้เทคโนโลยีในระดับ 2.0 (เช่น การสั่งซื้อออนไลน์ ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์) ทำให้เสียเปรียบจากการแข่งขันทั้งในประเทศ โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ รวมถึงการแข่งขันกับต่างประเทศยังทำได้ยาก
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจ SMEs ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ธุรกิจ SMEs ของไทยมีการปิดกิจการเพิ่มขึ้น จากปัจจัยท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัวช้า ต้นทุนการดำเนินธุรกิจปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงการแข่งขันรุนแรงต่อเนื่องกับสินค้านำเข้าและแพลตฟอร์ม E-commerce ต่างชาติ ส่งผลกดดันต่อการสร้างรายได้และการรักษาอัตรากำไรของธุรกิจ
สะท้อนข้อมูลนิติบุคคลที่ส่งงบการเงินต่อเนื่อง 3 ปี (2563-2566) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าในช่วงปี 2563-2566 แม้ผู้ประกอบการ SMEs บางส่วนยังสามารถประคองและรักษาความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ แต่ก็มี SMEs ขนาดเล็กและรายย่อยอีกกว่า 106,000 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26 ของธุรกิจทั้งหมดที่ส่งงบการเงิน ต้องเผชิญภาวะผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน
สถานการณ์ข้างต้น สอดรับไปกับจำนวนการปิดกิจการที่ยังคงเพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 มีธุรกิจที่ทุนจดทะเบียนต่ำกว่า 100 ล้านบาท ปิดกิจการอยู่ที่ 23,551 ราย หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี (CAGR ปี 2564-2567)
ขณะเดียวกัน แม้ว่าในแต่ละปีจะมีธุรกิจ SMEs ที่จัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละร้อยละ 7 เช่นกัน (CAGR ปี 2564-2567) แต่ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจอยู่รอดในช่วงหลัง Early stage หรืออยู่รอดหลังจัดตั้งกิจการไปแล้ว 3 ปี กลับมีทิศทางลดลง สะท้อนว่า ในภาวะการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน ผู้ประกอบการที่เริ่มทำธุรกิจใหม่มีแนวโน้มอยู่รอดยากขึ้น เนื่องจากยังไม่มีฐานลูกค้าประจำ และขาดประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางการแข่งขันที่สูง ปัจจัยแวดล้อมและพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
สำหรับสถานการณ์ธุรกิจ SMEs ในระยะต่อไป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ธุรกิจ SMEs ยังมีแนวโน้มขาดทุนหรือปิดกิจการต่อในแทบทุกอุตสาหกรรม แต่คาดว่าเป็นทิศที่ชะลอลง เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการปิดไปพอสมควรแล้ว
โดยในภาคการผลิต นอกจากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกแล้ว ผลจากสงครามการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง เป็นปัจจัยที่เข้ามาซ้ำเติมตลาดส่งออก ทั้งนี้ ปัจจุบัน SMEs ในภาคการผลิตของไทยมีมูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐฯ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 7 ของมูลค่าส่งออกในภาคการผลิตทั้งหมดของไทยไปยังสหรัฐฯ
ธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและส่วนประกอบ โดยมีความเสี่ยงส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้น้อยลง จากทั้งอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) และสินค้าเฉพาะภายใต้มาตรา 232 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของ Global supply chain
สะท้อนจากธุรกิจเหล่านี้มีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูง และมีสัดส่วนพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากกว่า 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเหล่านี้ของธุรกิจ SMEs ไปยังโลก แม้ยังไม่แน่ชัดว่าท้ายที่สุด ไทยจะโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เท่าใด แต่ภาษีจะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ และจะยิ่งกระทบมากขึ้นหากไทยโดนภาษีในอัตราที่สูงกว่าคู่แข่ง
ขณะเดียวกัน ตลาดในประเทศยังต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นกับสินค้านำเข้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อาทิ ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก สิ่งทอ รวมถึงธุรกิจการเกษตร หากไทยต้องเปิดตลาดให้กับสหรัฐฯ มากขึ้น ท่ามกลางปัญหาเชิงโครงสร้างการผลิตและความสามารถในการแข่งขันที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สะท้อนจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าเหล่านี้ของไทยมีทิศทางเพิ่มขึ้น สวนทางกับดัชนีภาคการผลิตที่ยังมีแนวโน้มหดตัว โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังที่ผลจากสงครามการค้ารอบใหม่มีความชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังไม่นับรวมผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจ SMEs อีกจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจส่งออกรายใหญ่ ซึ่งมีความเสี่ยงจากผลของสงครามการค้า เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง สภาวะการณ์ดังกล่าวจึงอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังยอดคำสั่งซื้อของ SMEs ภายในห่วงโซ่การผลิตให้ลดลงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในจังหวะที่ผู้ประกอบการใหญ่ระมัดระวังการลงทุน
ขณะที่ภาคการค้าและบริการ ที่มีสัดส่วนผู้ประกอบการ SMEs มากกว่าร้อยละ 80 อีกทั้งพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก ยังถูกกดดันจากกำลังซื้อในประเทศลดลง ตามภาวะค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น และแรงงานเสี่ยงถูกกระทบการปิดตัวของโรงงานหรือกิจการ ทำให้ผู้บริโภคระวังการใช้จ่าย อีกทั้งยังมีประเด็นการเมือง ตลอดจน SMEs ต้องแข่งขันกับรายใหญ่ที่มีความได้เปรียบในการบริหารจัดการต้นทุนที่ผันผวน
ขณะที่ ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของภาคการค้าและบริการ และมีการใช้จ่ายไปยังสินค้าอุปโภคบริโภคคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด ก็คาดหวังได้น้อยลง ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ความไม่แน่นอนต่าง ๆ เช่น แผ่นดินไหว ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ความไม่สงบในหลายพื้นที่ของโลก ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มหดตัว ประกอบกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป โดยมีการลดสัดส่วนการช้อปปิ้งลงกว่าในอดีต กระทบต่อยอดขายในบางธุรกิจของ SMEs ที่พึ่งพากำลังซื้อของลูกค้ากลุ่มนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหลัก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้าง ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ขนส่งสินค้า/คน ร้านค้าปลีกอินเทอร์เน็ต และร้านค้าปลีกสินค้าทั่วไป สะท้อนจากตัวเลขการปิดกิจการของธุรกิจเหล่านี้ ยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะยัง "ปิดเพิ่มขึ้น" จากความไม่สมดุลของผู้ประกอบการที่มีจำนวนมากเมื่อเทียบกับอุปสงค์ที่มีแนวโน้มชะลอลง ทำให้การแข่งขันเพื่อแย่งชิงลูกค้ายังรุนแรง
นอกจากผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ SMEs แล้ว การขาดทุน/ปิดกิจการที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่อเนื่องมายังการจ้างงาน แม้การจ้างงานสุทธิของธุรกิจ SMEs ยังเป็นบวก จากจำนวนธุรกิจที่เปิดใหม่ยังมากกว่าธุรกิจที่ปิดกิจการ แต่ตัวเลขอัตราการเติบโตกลับลดลงในช่วงปี 2565-2567
สะท้อนว่า ไปข้างหน้าจำนวนธุรกิจที่เปิดใหม่อาจสามารถดูดซับแรงงานในตลาดได้น้อยลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ “ภาคการค้าและการผลิต” ที่มีอัตราการเติบโตของการจ้างงานเฉลี่ยต่อปีเพียงร้อยละ 2.1 และร้อยละ 0.7 ชะลอลงจากในช่วงปี 2562-2564 ที่เคยโตร้อยละ 3.4 และร้อยละ 2.0 สอดคล้องไปกับการจ้างงานในภาพรวม ณ ไตรมาสแรกปี 2568 ของภาคการค้าและการผลิตที่หดตัวร้อยละ 3.1 และร้อยละ 0.5ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ท้ายที่สุดแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า โจทย์ข้างหน้าที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทำให้เสี่ยงที่มูลค่าทางเศรษฐกิจของ SMEs จะไม่เพิ่มขึ้นและอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ อย่างไรก็ตาม ด้วยความหลากหลายของ SMEs ทั้งในแง่จำนวน ประเภทกิจการ และเงื่อนไขทางธุรกิจที่ต่างกัน ทำให้คงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวของความอยู่รอด สิ่งที่ SMEs ต้องทำคือ การปรับตัว และการพึ่งพาตนเองให้ได้ในทุกสถานการณ์ ซึ่งความสามารถในการทำกำไร (Bottom line) ยอดขายและสภาพคล่องของธุรกิจ เป็นเรื่องที่สำคัญ ขณะเดียวกัน การไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนา มีความยืดหยุ่นในการปรับตัว และพยายามหาโอกาสท่ามกลางวิกฤตอยู่เสมอ ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำต่อเนื่อง
- ตลท.ชี้ยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการพิเศษ ดูแลการซื้อขาย รับมือภาษีทรัมป์ 1 ส.ค.นี้
- “ไทยโมเดล” สู้เกมภาษีทรัมป์ เมื่อทางรอดไม่ใช่แค่ลดภาษีเป็นศูนย์
- "ตลาดการกุศล"ไทยโตแตะ 1.5 แสนล้านบ.
- "เมียนมา" วอนทรัมป์ ช่วยลดภาษีนำเข้า 40% ยอมแลกนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 0 %
- บริษัท"รถยนต์ญี่ปุ่น" ยอมหั่นราคายนต์ส่งออกไปสหรัฐฯ หวังลดผลกระทบ"ภาษีทรัมป์"
- เขตเศรษฐกิจไหนในเอเชีย เจอภาษีทรัมป์หนักสุด เทียบกับประเทศไทย
- รมว.แรงงาน มั่นใจภาษี "ทรัมป์" ไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราการจ้างงาน
ที่มาข้อมูล : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ที่มารูปภาพ : TNN 16
