ดีล"ภาษีทรัมป์" ลุ้นไทยเทหมดหน้าตัก?

การเจรจาภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ  ล่าสุดประสบความสำเร็จอีกประเทศคือ  “อินโดนีเซีย”  โดยสามารถบรรลุข้อตกลงเจรจาภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เหลือร้อยละ 19 จากเดิมร้อยละ 32  ส่วนสินค้า Transhipment (ส่งผ่าน) จากประเทศอื่นๆ ไปสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษีของประเทศนั้นๆ   “แลกเปลี่ยน” กับข้อตกลงที่อินโดนีเซียจะเปิดตลาดสินค้าทุกรายการให้สหรัฐฯเป็นครั้งแรก โดยสินค้าสหรัฐฯ ส่งไปที่อินโดนีเซียจะปลอดภาษี หรือเก็บภาษีในอัตราร้อยละศูนย์ 

นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังตกลงที่จะซื้อสินค้าพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ สินค้าเกษตรมูลค่า 4,500 ล้านดอลลาร์ และเครื่องบินโบอิ้ง 50 ลำ ซึ่งหลายลำเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 777 

 “อินโดนีเซีย” ยังเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์”  ส่งหนังสือแจ้งเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ใหม่ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา  และนับเป็นประเทศที่สองในอาเซียนที่สหรัฐประสบความสำเร็จในการเจรจาลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯหลังจากเวียดนาม ได้รับดีลปรับลดเหลือร้อยละ 20  จากร้อยละ 46  ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา (4 ก.ค.)

ดังนั้น การบรรลุข้อตกลงภาษีตอบโต้ของเวียดนามที่อัตราร้อยละ 20   และอินโดนีเซียที่ อัตราร้อยละ 19  ส่งผลให้ไทยที่ถูกขู่ว่าต้องเสียภาษีตอบโต้ในอัตราร้อยละ 36 กลายเป็นตัวเลขสูงที่สุดในกลุ่มอาเซียนที่เป็นคู่แข่งการค้าสำคัญของไทย 

ทั้งนี้ อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่จะเก็บฟิลิปปินส์อยู่ที่ร้อยละ  20  มาเลเซียที่ร้อยละ 25  สิงคโปร์ ร้อยละ 10 

สรุปข่าว

จับตาทีมไทยแลนด์ "ดีลภาษีทรัมป์" ไทยจะต้อง "เทหมดหน้าตัก" เพื่อแลกกับการลดภาษีต้อบโต้หรือไม่ หลังจากเวียดนาม และอินโดนีเซีย บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้ปรับลดภาษีเหลือร้อยละ 20 และ ร้อยละ 19 ตามลำดับ

การเจรจาภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ  ล่าสุดประสบความสำเร็จอีกประเทศคือ  “อินโดนีเซีย”  โดยสามารถบรรลุข้อตกลงเจรจาภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เหลือร้อยละ 19 จากเดิมร้อยละ 32  ส่วนสินค้า Transhipment (ส่งผ่าน) จากประเทศอื่นๆ ไปสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บภาษีของประเทศนั้นๆ   “แลกเปลี่ยน” กับข้อตกลงที่อินโดนีเซียจะเปิดตลาดสินค้าทุกรายการให้สหรัฐฯเป็นครั้งแรก โดยสินค้าสหรัฐฯ ส่งไปที่อินโดนีเซียจะปลอดภาษี หรือเก็บภาษีในอัตราร้อยละศูนย์ 

นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังตกลงที่จะซื้อสินค้าพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ สินค้าเกษตรมูลค่า 4,500 ล้านดอลลาร์ และเครื่องบินโบอิ้ง 50 ลำ ซึ่งหลายลำเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 777 

 “อินโดนีเซีย” ยังเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์”  ส่งหนังสือแจ้งเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ใหม่ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา  และนับเป็นประเทศที่สองในอาเซียนที่สหรัฐประสบความสำเร็จในการเจรจาลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯหลังจากเวียดนาม ได้รับดีลปรับลดเหลือร้อยละ 20  จากร้อยละ 46  ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา (4 ก.ค.)

ดังนั้น การบรรลุข้อตกลงภาษีตอบโต้ของเวียดนามที่อัตราร้อยละ 20   และอินโดนีเซียที่ อัตราร้อยละ 19  ส่งผลให้ไทยที่ถูกขู่ว่าต้องเสียภาษีตอบโต้ในอัตราร้อยละ 36 กลายเป็นตัวเลขสูงที่สุดในกลุ่มอาเซียนที่เป็นคู่แข่งการค้าสำคัญของไทย 

ทั้งนี้ อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่จะเก็บฟิลิปปินส์อยู่ที่ร้อยละ  20  มาเลเซียที่ร้อยละ 25  สิงคโปร์ ร้อยละ 10 

อีกประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดหลังเวียดนาม และอินโดนีเซีย เปิดตลาดสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แบบปลอดภาษี  จะยิ่งสร้างแรงกดดันให้ไทยต้องยอมเปิดตลาดสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เหมือนกับทั้งสองประเทศด้วยหรือไม่ หลังจากข้อเสนอของไทยล่าสุดเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯเป็นส่วนใหญ่แล้ว ก็ตาม 

โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว.คลัง) เปิดเผยในงานเสวนาโต๊ะกลม ‘The Art of (Re) Deal’ จัดโดย ‘กรุงเทพธุรกิจ’ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา  (14 ก.ค.)  โดยระบุว่า “วันนี้ ได้พยายามทำข้อเสนอเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น คิดเป็นระดับเกือบร้อยละ 90 ของมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งมาไทย และกำลังพิจารณาให้เข้มข้นยิ่งขึ้น”  พร้อมระบุว่า  “สิ่งที่่เราเสนอไป เราได้ทบทวนหลายรอบ” 

ด้านนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า สำหรับข้อเสนอเปิดตลาดสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ รอบที่สอง ซึ่งไทยส่งไปเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม อยู่ในอัตราภาษี “เกือบร้อยละ 0 ถึงร้อยละ 0 ” ครอบคลุมกว่าร้อยละ 90 ของประมาณ 10,000 รายการ โดยยังรอคำตอบจากสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ส่วนอีกร้อยละ 10 ไทยอยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอ่อนไหว เช่น เกษตรกรรมและ SME ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

ขณะที่ล่าสุด นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อคืนนี้(16ก.ค.) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ จะนำข้อเสนอลดภาษีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯเป็นร้อยละ 0 ในสินค้าหลายหมื่นรายการ และข้อเสนอ อื่นๆ ไปพูดคุยกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ หรือUSTR ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งคาดว่าการเจรจาครั้งนี้อาจจะยังไม่ข้อสรุป อาจต้องมีการพูดคุยต่อเนื่อง 

สำหรับมุมมองของภาคเอกชน เริ่มมีความกังวลมากขึ้น  หลังจาก อินโดนีเซีย และเวียดนาม ยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือร้อยละ 0  

โดยนายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ยอมรับว่ามี ความกังวลว่าในอนาคตไทยอาจมีโอกาสถูกให้ลดภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 0 ทุกรายการ อย่างอินโดนีเซียและเวียดนาม เนื่องจากมองว่า อินโดนีเซียซึ่งได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ น้อยกว่าไทย 2.5 เท่า ยังยอมลดภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 0 ทุกรายการ อย่างไรก็ตามอย่างต้องรอความชัดเจนจากฝั่งอินโดนีเซียว่าจะมีการชี้แจงข้อมูลตรงกับสหรัฐหรือไม่  และแม้ทีมเจรจาของไทยจะหนักใจ แต่เชื่อว่าทีมไทยแลนด์ทำได้


ทั้งนี้ จากการประชุมหารือของ  47 กลุ่มอุตสาหกรรมสมาชิก ส.อ.ท. ได้ข้อสรุปว่า กลุ่มอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยินดีให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐเหลือร้อยละ 0  แต่มีเพียงบางกลุ่มอุตสาหกรรมยังมีความจำเป็นต้องเก็บภาษี เพราะหากเป็นร้อยละ 0 จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน 


โดยมองว่าสำหรับสินค้าที่สามารถลดภาษีได้ เช่น กลุ่มยา เพราะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูง ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคไทย ขณะที่กลุ่มเคมี เป็นกลุ่มสินค้าที่มีการลงทุนสูงและยังอยู่ระหว่างการปรับตัวหากมีการลดภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 0 ทันทีจะยังไม่สามารถปรับตัวได้ทัน


"ได้ให้ข้อมูลทั้งหมดกับหน่วยงานภาครัฐเรียบร้อยแล้ว ขึ้นอยู่กับทีมไทยแลนด์ในการตัดสินใจและจัดลำดับความสำคัญในการเจรจา แต่มองว่า ยังไม่จำเป็นถึงขั้นต้องเทหมดหน้าตักอย่างเวียดนามหรืออินโดนีเซียที่ลดภาษีนำเข้าเป็นร้อยละ 0 " นายนาวากล่าว 

ขณะที่มุมมองจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC  หากไทยถูกกดดันให้เปิดตลาดเสรีให้สินค้าสหรัฐฯ โดยไม่มีเงื่อนไข ตลาดที่มีความอ่อนไหวต่อการเจรจากับสหรัฐฯ คือ ตลาดสินค้ากลุ่มปศุสัตว์และวัตถุดิบอาหารสัตว์

เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ มองว่า ได้รับการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากไทย ทั้งจากกำแพงภาษีสูงและข้อกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers) ด้านต่าง ๆ  โดยจากการประเมินของ SCB EIC พบว่าอุตสาหกรรมสุกร ไก่เนื้อ และข้าวโพดของไทยมีความ “อ่อนไหวสูง”  หากภาครัฐจำเป็นต้องเปิดตลาดเสรีให้สหรัฐฯ โดยไม่มีเงื่อนไข (กรณีแย่สุด) เนื่องจากต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ประกอบกับโดยปกติแล้วไทยใช้ผลผลิตภายในประเทศเป็นหลักและมีผู้ผลิตที่เป็นเกษตรกรรายย่อยจำนวนมาก 

ตัวอย่างเช่น ในปี 2567  ต้นทุนการเลี้ยงสุกรและไก่ในไทยสูงกว่าต้นทุนในสหรัฐฯ (รวมค่าขนส่งมาไทย) ค่อนข้างมากถึงราวร้อยละ 27 หรือต้นทุนผลิตข้าวโพดของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ ราวร้อยละ 9  ทั้งนี้ในปี 2567  ไทยนำเข้าข้าวโพดเพียงร้อยละ 22 ของการบริโภคในประเทศเท่านั้น และไม่ได้นำเข้าเนื้อสุกรและไก่เลย 

ดังนั้น หากรัฐบาลยอมเปิดตลาดกลุ่มสินค้าเหล่านี้เพื่อแลกกับการลดอัตราภาษีตอบโต้ลง ผู้ผลิตในประเทศและผู้เล่นที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิตจะได้รับผลกระทบในวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรรายย่อย  ที่มีต้นทุนสูงและเป็นผู้ผลิตส่วนใหญ่ในไทย เนื่องจากต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า 

กล่าวคือ การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ จะทำให้ราคาสินค้าในประเทศปรับลดลงจากปริมาณการนำเข้าสินค้าราคาถูกที่เพิ่มขึ้น เช่น ราคาสุกรและข้าวโพดอาจปรับลดลงจากปริมาณการนำเข้าเนื้อสุกรและข้าวโพดราคาถูกจากสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแม้ว่าจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตอาหารสัตว์ที่จะได้อานิสงส์จากราคาสินค้าและต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง 

แต่ในทางกลับกัน ก็จะเป็นการ “เพิ่มความเสี่ยง”  ด้านความมั่นคงทางอาหารและวัตถุดิบสำหรับไทย เนื่องจากต้องพึ่งพาสินค้านำเข้าจากตลาดต่างประเทศมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ราคาที่ลดลงอาจจะทำให้รายได้เกษตรกรโดยรวมปรับลดลงและจะกดดันให้เกษตรกรที่ผลิตด้วยต้นทุนสูงอยู่แล้วต้องหยุดผลิตเพราะแข่งขันไม่ได้ และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังรายได้ของผู้ผลิตอาหารปศุสัตว์และเกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบ จากความต้องการใช้อาหารปศุสัตว์ในประเทศที่ลดลง  

ทั้งนี้ การเปิดเสรีนำเข้าแบบไม่มีเงื่อนไขให้สหรัฐฯ ในกรณีข้าวโพด  จะส่งผลลบต่อเกษตรกรราว 420,000   ครัวเรือน แต่จะส่งผลดีต่อผู้ผลิตอาหารสัตว์  ส่วนกรณีเนื้อสุกรและเครื่องใน จะส่งผลกระทบต่อเกษตรราว 150,000 ครัวเรือน และผู้ผลิตอาหารสุกร และกรณีเนื้อไก่และเครื่องใน จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ  

สำหรับกลุ่มเนื้อวัวเป็นสินค้าที่มีความ “อ่อนไหวในระดับปานกลาง”  เนื่องจากแม้ต้นทุนการผลิตในไทยจะสูงกว่าสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก แต่ปัจจุบันไทยมีการนำเข้าเนื้อวัวและเครื่องในจากต่างประเทศอยู่แล้ว จากการทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับคู่ค้าอย่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ซึ่งหากไทยต้องเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เพิ่มเติม ก็จะทำให้กลุ่มผู้ผลิตในประเทศต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในบางกลุ่มสินค้า โดยเฉพาะเนื้อวัวเกรดพรีเมียม 

ในทางกลับกัน กลุ่มสินค้าที่มี “ความอ่อนไหวต่ำ”  เช่น ถั่วเหลือง, ก๊าซธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์นม เป็นสินค้าที่ในปัจจุบันไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าค่อนข้างมากอยู่แล้ว จึงจะได้รับผลกระทบค่อนข้างต่ำและในวงจำกัด

ขณะที่ผลไม้และพืชเมืองหนาว เช่น แอปเปิล เชอรี่ ข้าวสาลี  มีผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากผู้ผลิตในไทยมีไม่มาก จากสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก


ด้าน วิจัยกรุงศรี  ประเมินว่า การเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯมากขึ้นเพื่อแลกกับการลดภาษีอาจนำไปสู่ภาวะ "Twin Influx" หรือ การไหลทะลักเข้าของสินค้าจากสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการไหลทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ไทย 

ซึ่งในท้ายที่สุด ภาวะ "Twin Influx" อาจบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมที่มีการจ้างงานถึงร้อยละ 28.6 ของกำลังแรงงาน (ปี 2567)

วิจัยกรุงศรีระบุว่า ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่รุนแรงขึ้น ประเทศไทยอาจมีทางเลือกตอบโต้ที่จำกัด ดังนั้น จึงควรเร่งขยายตลาดและเจรจาการค้ากับประเทศอื่นๆมากขึ้น และหันมาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาวอย่างจริงจัง เพื่อลดแรงกดดันจากนโยบายการค้าของประเทศแกนหลัก

อย่างไรก็ดี ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไทยต้องเร่งรับมือคือ การเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ให้ได้ดีลที่ที่สุด โดยไม่ต้องเทหมดหน้าตัก ถือเป็นโจทย์ยากและท้าทายทีมไทยแลนด์