"ทีดีอาร์ไอ"ชี้เศรษฐกิจไทย 5 เดือนสุดท้ายปีนี้ "เหนื่อยแน่"

"ทีดีอาร์ไอ"ชี้เศรษฐกิจไทย 5 เดือนสุดท้ายปีนี้ "เหนื่อยแน่"

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) วิเคราะห์ภาพรวมการส่งออก-นำเข้า หลังจากที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยในอัตราร้อยละ 19 ว่า ถ้าเทียบดูกับประเทศอื่นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ที่สําคัญคู่แข่งอันดับหนึ่งของไทยในตลาดสหรัฐฯอย่างจีนถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯในอัตราร้อยละ 30-55 ในปัจจุบันสำหรับสินค้าส่วนใหญ่  

และเชื่อว่าหลังการเจรจาตกลงทางภาษีกับสหรัฐฯ ภาษีนำเข้าสหรัฐฯของจีนจะยังคงสูงกว่าของไทยอย่างแน่นอน ซึ่งในสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯสูงสุด 20 อันดับ มีสินค้าจีนเป็นคู่แข่งถึง 18 รายการ และจีนครองส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯมากกว่าไทยมาก จึงทำให้ไทยมีโอกาสแข่งขันด้านราคาและช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากจีนมาได้

ดร.กิริฎา ระบุด้วยว่า แม้ไทยจะปิดดีลได้ที่ร้อยละ 19 แต่จะต้องไม่ลืมว่ายังมีอีกร้อยละ 40 สําหรับสินค้า Transshipment (สินค้าที่อำพรางแหล่งที่มา หรือการสวมสิทธิส่งออกในนามสินค้าไทย) ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนถึงคำนิยาม และการแบ่งเกณฑ์ของสินค้าประเภทนี้ว่าสหรัฐฯจะกำหนดอย่างไร เช่น ต้องมี Local Content กี่เปอร์เซ็นต์ และสามารถใช้วัตถุดิบที่นำเข้าจากจีนเพื่อผลิตสินค้าได้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะต้องรอให้ทางสหรัฐฯ ประกาศรายละเอียดออกมาอีกครั้ง 

ทั้งนี้อาเซียนถือเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงที่สุดที่จะโดนภาษีร้อยละ 40 จากสินค้า Transshipment เนื่องจากจีนส่งสินค้าผ่านประเทศในภูมิภาคนี้ รวมทั้งมีการซื้อวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตสินค้าจากจีนมากกว่าในภูมิภาคอื่นในโลก

“ภาษีนำเข้าสำหรับไทยร้อยละ 19 ถือว่าแข่งขันพอได้ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่จะมีแผนที่จะมาลงทุนในไทยเพื่อส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ เช่นอิเล็กทรอนิกส์ แต่ต้องยอมรับว่าความชัดเจนเรื่อง Transhipment ยังไม่มี ถ้าเราโดนเก็บอีกร้อยละ 40  สินค้าเหล่านั้นก็จะแพงขึ้นมากในตลาดสหรัฐฯ  อย่างไรก็ตามเวียดนามก็คงหลีกเลี่ยงภาษี transshipment ได้ยากเพราะ local content ของเวียดนามในสินค้าหลายตัวที่ส่งไปสหรัฐฯ เช่นอิเล็กทรอนิกส์ มีน้อยกว่าไทย แต่กับมาเลเซีย และประเทศในลาตินอเมริกา ไทยอาจจะเสียเปรียบ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง” ดร.กิริฎาระบุ

สรุปข่าว

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ ชี้ท่ามกลางภาษีทรัมป์ ไทยยังมีโอกาสแข่งขันด้านราคาได้ แต่ยังต้องลุ้นก็อกสอง หลักเกณฑ์สินค้า Transshipment แนะภาครัฐช่วยหนุน SME สู้ศึกสินค้านำเข้าที่จะทะลักเพิ่ม และคาดเศรษฐกิจ 5เดือนสุดท้ายของปี ‘เหนื่อยแน่’ จีพีพีรวมทั้งปีไม่เกินร้อยละ 2 แต่ยังมีข่าวดีการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่เพิ่มขึ้น เริ่มต้นปีหน้า

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) วิเคราะห์ภาพรวมการส่งออก-นำเข้า หลังจากที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยในอัตราร้อยละ 19 ว่า ถ้าเทียบดูกับประเทศอื่นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ที่สําคัญคู่แข่งอันดับหนึ่งของไทยในตลาดสหรัฐฯอย่างจีนถูกเก็บภาษีจากสหรัฐฯในอัตราร้อยละ 30-55 ในปัจจุบันสำหรับสินค้าส่วนใหญ่  

และเชื่อว่าหลังการเจรจาตกลงทางภาษีกับสหรัฐฯ ภาษีนำเข้าสหรัฐฯของจีนจะยังคงสูงกว่าของไทยอย่างแน่นอน ซึ่งในสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯสูงสุด 20 อันดับ มีสินค้าจีนเป็นคู่แข่งถึง 18 รายการ และจีนครองส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯมากกว่าไทยมาก จึงทำให้ไทยมีโอกาสแข่งขันด้านราคาและช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากจีนมาได้

ดร.กิริฎา ระบุด้วยว่า แม้ไทยจะปิดดีลได้ที่ร้อยละ 19 แต่จะต้องไม่ลืมว่ายังมีอีกร้อยละ 40 สําหรับสินค้า Transshipment (สินค้าที่อำพรางแหล่งที่มา หรือการสวมสิทธิส่งออกในนามสินค้าไทย) ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนถึงคำนิยาม และการแบ่งเกณฑ์ของสินค้าประเภทนี้ว่าสหรัฐฯจะกำหนดอย่างไร เช่น ต้องมี Local Content กี่เปอร์เซ็นต์ และสามารถใช้วัตถุดิบที่นำเข้าจากจีนเพื่อผลิตสินค้าได้กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะต้องรอให้ทางสหรัฐฯ ประกาศรายละเอียดออกมาอีกครั้ง 

ทั้งนี้อาเซียนถือเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงที่สุดที่จะโดนภาษีร้อยละ 40 จากสินค้า Transshipment เนื่องจากจีนส่งสินค้าผ่านประเทศในภูมิภาคนี้ รวมทั้งมีการซื้อวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตสินค้าจากจีนมากกว่าในภูมิภาคอื่นในโลก

“ภาษีนำเข้าสำหรับไทยร้อยละ 19 ถือว่าแข่งขันพอได้ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่จะมีแผนที่จะมาลงทุนในไทยเพื่อส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ เช่นอิเล็กทรอนิกส์ แต่ต้องยอมรับว่าความชัดเจนเรื่อง Transhipment ยังไม่มี ถ้าเราโดนเก็บอีกร้อยละ 40  สินค้าเหล่านั้นก็จะแพงขึ้นมากในตลาดสหรัฐฯ  อย่างไรก็ตามเวียดนามก็คงหลีกเลี่ยงภาษี transshipment ได้ยากเพราะ local content ของเวียดนามในสินค้าหลายตัวที่ส่งไปสหรัฐฯ เช่นอิเล็กทรอนิกส์ มีน้อยกว่าไทย แต่กับมาเลเซีย และประเทศในลาตินอเมริกา ไทยอาจจะเสียเปรียบ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง” ดร.กิริฎาระบุ

ดร.กิริฎา ระบุภาพรวมการขึ้นภาษีนําเข้าของสหรัฐฯกับประเทศต่าง ๆ ในโลก รวมถึงการตอบโต้จากจีนว่า จะทำให้การผลิตและการค้าในโลกโตช้าลง เศรษฐกิจโตช้าลง โดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบเปิด พึ่งพาการนําเข้าส่งออกมากอย่างประเทศไทยจะถูกกระทบมาก ทำให้ในระยะต่อไปการส่งออกของไทยจะโตเพียงร้อยละ 2 - 3 เท่านั้น ขณะที่การนำเข้าของไทยจะมีสินค้านำเข้าเพิ่มมากขึ้น 

สำหรับข้อแนะนำเรื่องการส่งออกนั้น ดร.กิริฎา แนะนำว่าเมื่อการส่งออกโตช้าลง นอกจากจะต้องหาช่องทางช่วงชิงตลาดจากคู่แข่งในสหรัฐฯให้ได้แล้ว แต่ในบางสินค้าไม่สามารถแข่งเรื่องราคาได้เพียงอย่างเดียว เช่น สินค้าในกลุ่มจิวเวอร์รี่ที่ไทยส่งออกมากเป็นอันดับ 7 ของสินค้าไทยที่ส่งไปยังตลาดสหรัฐฯ จะต้องแข่งในเรื่องของดีไซน์และคุณภาพมากขึ้น เพราะกลุ่มผู้ซื้อคือกลุ่มคนมีเงิน ไม่ได้ตัดสินใจซื้อบนเรื่องราคาอย่างเดียว

นอกจากนี้ไทยจะต้องพยายามหาตลาดส่งออกใหม่ ๆ โดยในปีหน้าไทยจะลงนามเขตการค้าเสรี (FTA)กับสหภาพยุโรป ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยเข้าตลาดยุโรปได้ง่ายขึ้น และเห็นว่ายังมีโอกาสรุกไปประเทศในตะวันออกกลางมากกว่าปัจจุบัน โดยภูมิภาคนี้มีกำลังซื้อ แต่ยังคงมีความเสี่ยงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์อยู่

ดร.กิริฎา บอกด้วยว่า สินค้าไทยยังไม่ค่อยเข้าไปทำตลาดในประเทศในทวีปแอฟริกามากนัก ทั้งที่เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มาก และมีประชากรที่เป็นชนขั้นกลางขึ้นไปจำนวนมาก ที่ผ่านมาการส่งออกจากไทยส่วนใหญ่ไปที่ประเทศแอฟริกาใต้ ดังนั้นประเทศในแอฟริกาจึงเป็นที่น่าส่งออกสินค้าไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะอาหาร และสินค้าเกษตร ซึ่งในการขยายตลาดการส่งออกนั้นภาครัฐจะต้องช่วยในการหาเครือข่ายทางธุรกิจในประเทศต่าง ๆ เพราะเป็นเรื่องไม่ง่ายที่เอกชนจะไปเอง หรือรัฐอาจสร้างแรงจูงใจให้เอกชนรายใหญ่ที่มีช่องทางการค้าในประเทศเหล่านั้นพาซัพพลายเออร์ไทยไปด้วย 

ส่วนการนำเข้านั้น ดร.กิริฎา กล่าวว่า ไทยอาจจะซื้อสินค้านําเข้ามากขึ้น ด้วยคุณภาพที่ดีและราคาที่ถูกกว่าที่ผลิตในไทย  อย่างเช่นเหล็ก ที่ทุกประเทศโดนภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ร้อยละ 50 ทำให้ผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จะต้องหาตลาดเพิ่มในอาเซียน รวมถึงไทย ซึ่งต้องยอมรับว่าสินค้าเหล็กของประเทศเหล่านี้มีคุณภาพดี สามารถลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการก่อสร้างได้ นอกจากนี้ยังมีสินค้าประเภทสิ่งทอ พลาสติก ปิโตรเคมี ที่กลุ่มผู้ผลิตสินค้าไทยจะแข่งขันด้านราคาได้ยาก ในเรื่องนี้จึงมีทั้งฝ่ายที่ได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์  

“เหรียญมี2ด้าน ด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการ ผู้บริโภคก็จะได้ก็จะได้ซื้อของที่ถูกลง ที่สําคัญไทยจะได้ต่อยอดจากวัตถุดิบ และเครื่องจักรที่ไม่แพง เกิดการปรับตัวต่อยอด เช่น การใช้ไบโอเทคโนโลยีต่อยอดขึ้นไปเป็น โปรตีนทางเลือก โพรไบโอติกส์ เครื่องสำอางค์  ซึ่งเหล่านี้เป็นสินค้าที่สามารถทำกำไรได้สูง และสินค้าไทยมีภาพลักษณ์ที่ดี ตลาดในยุโรปและอเมริกาเลือกที่จะซื้อสินค้าเหล่านี้ของไทยมากกว่าสินค้าจีน เพราะฉะนั้นมองว่าเรายังมีโอกาส ถ้าเราปรับตัว แต่การปรับตัวไม่ง่าย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กหรือกลางดังนั้นภาครัฐจะต้องเข้ามาช่วยตรงนี้” ดร.กิริฎาระบุ

ดร.กิริฎา ระบุว่า ภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือทั้งในการให้ความรู้ใหม่ ๆ ที่จะนำไปสู่การปรับตัวของธุรกิจ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน การเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นวงเงิน 115,000 ล้านบาทของรัฐบาลจะมีงบประมาณ 11,000 ล้านบาทที่จะนำไปใช้ในการช่วยเหลือธุรกิจส่งออก และSME ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า ซึ่งอาจจะมีทั้งงบประมาณในส่วนของการอบรม การให้ความช่วยทางการเงินเพื่อให้ SME สามารถปรับโครงสร้างธุรกิจได้ รวมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

ดร.กิริฎา ยังวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยในช่วง 5 เดือนสุดท้ายของปีโดยมองว่า การส่งออกในครึ่งปีหลังน่าจะลดลง เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกลูกค้าของไทยสั่งซื้อสินค้าไปกักตุนจำนวนมากจากความไม่แน่นอนทางภาษีของสหรัฐฯ ทำให้ในครึ่งปีหลังการส่งออกจะไม่มีการสั่งซื้อสินค้าไทยมากเช่นในครึ่งปีแรก และน้อยกว่าในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้คาดว่าจีดีพีของไทยทั้งปีโตได้ไม่เกินร้อยละ 2 ขณะที่เงินเฟ้อจะต่ำไม่เกินร้อยละ 1 ซึ่งจะทำให้ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในขาลง และดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ก็จะลดลง แต่ธนาคารอาจจะไม่ได้ปล่อยกู้เพิ่ม ขณะที่ค่าเงินบาทคาดว่าจะอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 33-34 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ 

“เหนื่อยแน่นอนใน 5 เดือนสุดท้ายของปี การส่งออกลดลง การบริโภคในประเทศโตช้า นักท่องเที่ยวต่างชาติมาน้อยกว่าปีที่แล้ว รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ อย่างงบประมาณปี 2569 ที่จะเริ่มใช้วันที่ 1ตุลาคมนี้ ถ้าหักที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินต้นออกไป เงินงบประมาณที่มีใช้จ่ายในประเทศนั้น น้อยกว่าปีงบประมาณที่ผ่านมา แต่ที่จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้างคือมาตรการระยะสั้นวงเงิน 115,000 ล้านบาท” ดร.กิริฎาระบุ 

อย่างไรก็ตามดร.กิริฎา บอกว่ายังมีข่าวดีอยู่บ้างในเรื่องของการลงทุน ท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้นักลงทุนไม่ได้มองเฉพาะเพียงต้นทุนว่าลงทุนที่ประเทศใดมีต้นทุนการผลิตและส่งออกจะต่ำที่สุด แต่มองไปถึงประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ด้วย ซึ่งไทยได้เปรียบในเรื่องนี้ ดูได้จากการขอบัตรส่งเสริมจากบีโอไอในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งการลงทุนจะเริ่มทยอยมาไทยตั้งแต่ต้นปีหน้า และจะเห็นชัดในอีก 2-3 ปีถัดไปที่จะมีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในประเทศสูงมาก ทั้งจากนักลงทุนต่างชาติ และจากนักลงทุนคนไทย โดยเฉพาะภาคการผลิตใหม่ ๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลกไม่ว่าจะเป็น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อีวี ไฮบริดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และไบโอเทคโนโลยี 

“เอกชนจะต้องดูว่าจะไปเป็นพาร์ทเนอร์กับธุรกิจเหล่านี้ได้อย่างไร ซึ่งการลงทุนจากต่างประเทศถือว่าเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะการลงทุนเหล่านี้ คือการตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทยไปอีก 20-30 ปี และเป็นอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ด้วย ”ดร.กิริฎาระบุ


ที่มาข้อมูล : ทีดีอาร์ไอ

ที่มารูปภาพ : TNN 16