สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มทุนการลงทุนระดับโลกอย่าง Carlyle Group และ EQT พร้อมด้วยกลุ่มทุนภูมิภาค ได้แก่ HongShan Capital Group และ Boyu Capital กำลังเตรียมยื่นข้อเสนอรอบสุดท้าย เพื่อเข้าซื้อหุ้นใหญ่ในกิจการ Starbucks China ตามข้อมูลจากบุคคลใกล้ชิดดีลจำนวน 5 ราย
รายงานระบุว่า สตาร์บัคส์ได้กำหนดให้ผู้เข้ารอบสุดท้ายต้องยื่นข้อเสนอผูกพัน (binding bids) ภายในต้นเดือนตุลาคมนี้ และอาจได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือนเดียวกัน โดยในรอบแรกมีผู้เข้าชิงราว 10 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เสนอประเมินมูลค่าธุรกิจ Starbucks China ไว้สูงสุดถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.8 แสนล้านบาท
แม้ขนาดสัดส่วนการขายหุ้นยังไม่ถูกเปิดเผย แต่สตาร์บัคส์ยืนยันว่าจะยังคงถือหุ้นบางส่วนไว้ เพื่อรักษาผลประโยชน์และมีบทบาทสำคัญในธุรกิจ ขณะเดียวกันบริษัทยังต้องการเก็บสิทธิ์การควบคุมโรงคั่วกาแฟในจีนไว้เอง เพื่อให้มั่นใจในมาตรฐานคุณภาพสินค้า
สรุปข่าว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มทุนการลงทุนระดับโลกอย่าง Carlyle Group และ EQT พร้อมด้วยกลุ่มทุนภูมิภาค ได้แก่ HongShan Capital Group และ Boyu Capital กำลังเตรียมยื่นข้อเสนอรอบสุดท้าย เพื่อเข้าซื้อหุ้นใหญ่ในกิจการ Starbucks China ตามข้อมูลจากบุคคลใกล้ชิดดีลจำนวน 5 ราย
รายงานระบุว่า สตาร์บัคส์ได้กำหนดให้ผู้เข้ารอบสุดท้ายต้องยื่นข้อเสนอผูกพัน (binding bids) ภายในต้นเดือนตุลาคมนี้ และอาจได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือนเดียวกัน โดยในรอบแรกมีผู้เข้าชิงราว 10 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เสนอประเมินมูลค่าธุรกิจ Starbucks China ไว้สูงสุดถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.8 แสนล้านบาท
แม้ขนาดสัดส่วนการขายหุ้นยังไม่ถูกเปิดเผย แต่สตาร์บัคส์ยืนยันว่าจะยังคงถือหุ้นบางส่วนไว้ เพื่อรักษาผลประโยชน์และมีบทบาทสำคัญในธุรกิจ ขณะเดียวกันบริษัทยังต้องการเก็บสิทธิ์การควบคุมโรงคั่วกาแฟในจีนไว้เอง เพื่อให้มั่นใจในมาตรฐานคุณภาพสินค้า
แหล่งข่าวเสริมว่า นอกจากกลุ่มผู้เข้าชิงหลักทั้ง 4 รายแล้ว ยังมี Primavera Capital บริษัทไพรเวทอิควิตี้ของจีน ที่มีแนวโน้มจะเข้าร่วมกับหนึ่งในกลุ่มทุนเหล่านี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในดีลครั้งสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงขั้นสุดท้ายยังอยู่ระหว่างการเจรจา ทั้งในเรื่องโครงสร้างการขายและขนาดสัดส่วนหุ้นที่จะถูกโอน โดยที่ปรึกษาดีลครั้งนี้คือ Goldman Sachs แต่ทั้งหมดต่างปฏิเสธให้ความเห็นเพิ่มเติม
การขายหุ้นใหญ่ Starbucks China เกิดขึ้นในจังหวะที่บริษัทเผชิญแรงกดดันในตลาดจีนอย่างหนัก จากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง โดยเฉพาะจากผู้เล่นท้องถิ่น ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของสตาร์บัคส์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากร้อยละ 34 ในปี 2019 เหลือเพียง ร้อยละ 14 ในปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลจาก Euromonitor International
เพื่อแก้ไขสถานการณ์ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ ลดราคาสินค้าบางรายการที่ไม่ใช่กาแฟ และเร่งออกเมนูที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวจีนมากขึ้น มาตรการเหล่านี้ช่วยให้ยอดขายเทียบสาขาในจีนไตรมาสล่าสุด (สิ้นสุด 29 มิถุนายน) กลับมาเติบโตร้อยละ 2 หลังไตรมาสก่อนหน้านี้ไม่ขยายตัวเลย
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสตาร์บัคส์ในตลาดใหญ่อันดับสองของโลก และสะท้อนถึงแรงกดดันที่แบรนด์ระดับโลกต้องเผชิญเมื่อต้องแข่งขันกับคู่แข่งท้องถิ่นที่แข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่อง
