หวังดรีมทีมเศรษฐกิจ "ดึงเงินต่างชาติ" ดันลงทุนไทย

ครม.ชุดใหม่ นำโดยอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับทีมเศรษฐกิจ ขณะนี้มีปัญหารอรัฐบาลใหม่มาแก้ไข ทั้งเรื่องปากท้อง รายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจที่ลดลง รวมถึงเรื่องหนี้เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน 

รวมถึงรัฐบาลใหม่ต้องหาแนวทางรับมือกับการค้าโลกที่แข่งขันรุนแรง ภาษีสหรัฐฯ ที่เข้มข้นขึ้น และที่สำคัญในเรื่องการลงทุน เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจในระยะยาวว่าจะเดินหน้าอย่างไร  

จากนี้ไปคงต้องติดตามว่า “นายกฯ อนุทิน ที่กำกับดูแลสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) จะมานั่งเป็นประธานบอร์ดบีโอไอ หรือมอบหมายรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ และรมว.คลัง เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ให้เป็นประธานบอร์ดบีโอไอแทน” 

หลายรัฐบาล เช่น รัฐบาลแพรทองธาร มอบหมายพิชัย ชุณหวิชระ อดีตรองนายกและรมว.การคลัง เป็นประธานบีโอไอ โดยประธานบีโอไอมีหน้าที่อนุมัติการลงทุน และส่งเสริมการลงทุน รวมถึงดึงดูดการลงทุน และวางนโยบายใหม่ๆ ในการลงทุน

“การทำงานร่วมกันระหว่างบอร์ดบีโอไอฝ่ายการเมือง ที่มี รมว.อุตสาหกรรม รมว.พาณิชย์ รมว. คมนาคมร่วมด้วย” และร่วมมือกับตัวแทนจากภาคเอกชน เช่น หอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ถูกแต่งตั้งมาเป็นคณะกรรมการบีโอไอ

ประธานบอร์ดบีโอไอชุดใหม่ต้องไปร่วมโรดโชว์ในต่างประเทศ ทั้งในญี่ปุ่น จีน สหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงประเทศใหม่ๆ ในตะวันออกลาง 


สรุปข่าว

การดึงดูดเม็ดเงินลงทุน เป็นหนึ่งในประเด็นท้าทายรัฐบาลใหม่ แม้ว่าปีนี้ยอดขอบีโอไอเกินกว่า 1 ล้านล้านบาทไปแล้ว แต่คงวางใจไม่ได้ เพราะถ้าดูเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ(FDI) พบว่ามีสัดส่วนลดลงเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ ในอาเซียน

ครม.ชุดใหม่ นำโดยอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับทีมเศรษฐกิจ ขณะนี้มีปัญหารอรัฐบาลใหม่มาแก้ไข ทั้งเรื่องปากท้อง รายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจที่ลดลง รวมถึงเรื่องหนี้เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน 

รวมถึงรัฐบาลใหม่ต้องหาแนวทางรับมือกับการค้าโลกที่แข่งขันรุนแรง ภาษีสหรัฐฯ ที่เข้มข้นขึ้น และที่สำคัญในเรื่องการลงทุน เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจในระยะยาวว่าจะเดินหน้าอย่างไร  

จากนี้ไปคงต้องติดตามว่า “นายกฯ อนุทิน ที่กำกับดูแลสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) จะมานั่งเป็นประธานบอร์ดบีโอไอ หรือมอบหมายรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ และรมว.คลัง เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ให้เป็นประธานบอร์ดบีโอไอแทน” 

หลายรัฐบาล เช่น รัฐบาลแพรทองธาร มอบหมายพิชัย ชุณหวิชระ อดีตรองนายกและรมว.การคลัง เป็นประธานบีโอไอ โดยประธานบีโอไอมีหน้าที่อนุมัติการลงทุน และส่งเสริมการลงทุน รวมถึงดึงดูดการลงทุน และวางนโยบายใหม่ๆ ในการลงทุน

“การทำงานร่วมกันระหว่างบอร์ดบีโอไอฝ่ายการเมือง ที่มี รมว.อุตสาหกรรม รมว.พาณิชย์ รมว. คมนาคมร่วมด้วย” และร่วมมือกับตัวแทนจากภาคเอกชน เช่น หอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ถูกแต่งตั้งมาเป็นคณะกรรมการบีโอไอ

ประธานบอร์ดบีโอไอชุดใหม่ต้องไปร่วมโรดโชว์ในต่างประเทศ ทั้งในญี่ปุ่น จีน สหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงประเทศใหม่ๆ ในตะวันออกลาง 


คงต้องติดตามนโยบายการลงทุนว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้บ้าง เพราะเท่าที่ทราบกันว่า รัฐบาลชุดนี้มีวาระการทำงานไม่นาน ดังนั้นการปรับเปลี่ยนนโยบายที่ต้องใช้เวลาศึกษาอาจต้องข้ามไปก่อน

มีความเห็นจาก “จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” มองว่า การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ที่มีรัฐมนตรีคนนอก ที่มาจากทั้ง ภาคเอกชน และ ข้าราชการที่มีประสบการณ์สูง ที่เห็นแล้วน่าพอใจ เพราะแต่ละท่านล้วนเป็นคนที่มีความเป็นมืออาชีพสูงในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงต่างประเทศ พลังงาน คลัง หรือพาณิชย์ ซึ่งหลังเปิดรายชื่อออกมา ได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างชาติ 

จรีพร มองว่า ช่วงจังหวะนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญในการดึงดูด การย้ายฐานการลงทุนจากต่างประเทศ จากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์  สงครามการค้าและมาตรการภาษีใหม่จากสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการบังคับใช้มาตรการ transshipment  ที่บังคับให้สินค้าส่งออกมี local content ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ทำให้หลายประเทศที่เคยนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อนำไป re-export อาจไม่สามารถใช้วิธีเดิมได้อีกต่อไป 

การเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยในการดึงดูดการตั้งฐานการผลิตและลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาในไทยโดยตรง ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทย ทั้งรายใหญ่และรายย่อย โดยรัฐควรมีบทบาทสำคัญในการวาง “ecosystem” ที่เอื้อต่อการเติบโตและเชื่อมโยงกับการลงทุนใหม่ ๆ

สำหรับช่วงที่เหลือของปี เชื่อว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มดีขึ้นจากการที่รัฐบาลใหม่เริ่มเดินหน้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะนโยบายที่ประกาศชัดเจนว่าทำงานไม่มีวันหยุด ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่าทุกฝ่ายพร้อมจะทำงานอย่างเต็มที่ การที่รัฐบาลมีเป้าหมายสร้างผลงานในระยะสั้น จึงเป็นผลดีต่อภาพรวมประเทศ และอาจกลายเป็นต้นแบบของการบริหารราชการในอนาคต ว่าประเทศไทยมีคนเก่งมากมายที่พร้อมเข้ามาทำงานเพื่อประเทศ

นอกจากนี้ปีนี้เป็นปีสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศจีน เฉลิมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย รัฐบาลใหม่ ควรใช้จังหวะนี้ดึงดูดนักลงทุนจีน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และสร้างการเชื่อมโยงกับธุรกิจไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาว

เคยมีการประเมินจาก KKP Research ว่า ไทยต้องเร่งหา Growth Engine ตัวใหม่เพื่อผลักดันการลงทุนจากต่างประเทศ( FDI)  คุณภาพสูง ยกระดับเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทานในประเทศ เพราะเศรษฐกิจโลกกำลังปรับรูปโฉมใหม่ โดยจะไม่กลับสู่โลกาภิวัตน์ (Globalization) แบบเดิมอีกต่อไป

“KKP Research ระบุว่า ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่ที่ปัญหาในระยะสั้นอย่างมาตรการภาษีของสหรัฐฯ หรือวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 แต่เป็นความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวที่พบว่าความสามมรถของไทยกำลังตกต่ำลง เกิดขึ้นมาตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง โดยเงินลงทุนจากต่างชาติ(FDI) เคยสูงสุดร้อยละ 40 ช่วงปี 2544-2548 เมื่อเทียบกับอาเซียน แต่หลังจากนั้นลดต่ำลงเหลือร้อยละ 8.9 ช่วงปี 2559-2564”

นอกจากจะดึงดูดเงินลงทุนได้ต่ำแล้ว โครงการลงทุนที่เข้ามานั้นก็ไม่ได้เพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจไทยมากนัก มีข้อแนะนำว่า ในการดึงดูดการลงทุน ควรเน้นโครงการลงทุนที่มีคุณภาพ เน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ การเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ดีในระยะยาว 

ในการดึงดูดเงินลงทุนใหม่ๆ ไทยจำเป็ฯต้องแก้ไขอุปสรรคในการดึงดูด FDI คุณภาพ ผ่านการยกระดับทักษะและการศึกษา เพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานไร้ฝีมือ ปรับปรุงกฎระเบียบการตรวจคนเข้าเมืองเพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูง รวมถึงแก้ไขปัญหาเชิงสถาบัน เช่น คอร์รัปชัน, หลักนิติธรรม, และการผูกขาด

ถ้าหากไม่เร่งปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับ “ทศวรรษที่หายไป” (Lost Decade) หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น ซึ่ง KKP Research ชี้ว่า ปัญหาของไทยไม่ใช่ภาวะวิกฤตเฉียบพลันแบบวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 แต่เป็นการซึมลึกและไหลลงอย่างช้าๆ

 

พาไปดูการทำงานบีไอไอในในฐานะหน่วยงานดึงดูดการลงทุนของประเทศกันบ้าง

“ธาศินี สมิตร ที่ปรึกษาด้านการลงทุน บีโอไอ ที่ร่วมเวทีเสวนา ภายใต้หัวข้อ “ปลดล็อคศักยภาพผลักดันเศรษฐกิจ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนาแห่งปี 2025 “Transforming Thailand: ปรับโฉมไทย สู่อนาคต และความยั่งยืน” จัดโดย TNN เมื่อวันที่ 8 กันยายนว่า บีโอไอ มีบทบาทในเรื่องสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ที่ช่วยผลักดันให้มาตรการตอบสนองได้รวดเร็ว และใช้วัตถุดิบในประเทศมากยิ่งขึ้น มีการส่งถ่ายทอดเทคโนโลยี เน้นการใช้สินส่วนในประเทศ มีกิจกรรมสนับสุนเกิดความเชื่อมโยงผู้ผลิตในประเทศ 

“ครึ่งปีแรก หรือ ม.ค.-มิ.ย. 2568 บีโอไอได้อนุมัติโครงการลงทุนกว่า 1 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะด้านดาต้าเซ็นเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล ถือว่าแค่ครึ่งปีแรกเม็ดเงินลงทุนในภาพรวมใกล้เคียงกับที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว” 

ไทยมีศักยภาพ ทั้งทำเลที่ดี โครงสร้างพื้นฐานแข็งแรง มีการลงทุนด้านดิจิทัล บุคคลกร แต่มองว่ายังไม่เพียงพอที่จะทำให้การลงทุนเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยไทยจำเป็นต้องปรับปรุงสิทธิประโยชน์และแนวทางดึงดูดเงินทุน  ซึ่งบีโอไอได้ทำงานร่วมกับทั้งกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องการค้า ซึ่งมีผลกระทบต่อปัจจัยการผลิต เช่น การกำหนด Local Content 

“สำหรับอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ที่มีการลงทุนในไทย พบว่า อุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะกิจการดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ ลงทุนสะสมมากสุดในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาถึง 8.1 แสนล้านบาท โดยลงทุนกว่า  57 โครงการ”

“บีโอไอพยายามดึงการลงทุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักส์เตอร์(ชิป) เพื่อวางรากฐานการเติบโตเศรษฐกิจในระยะยาว มีเป้าหมาย ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาทในช่วงปี 2568–2572” ล่าสุดนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ จับมือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี ไปโรดโชว์สหรัฐฯ เมื่อช่วงสัปดาห์ผ่านมา เพื่อเจรจากับบริษัทเซมิคอนดักเตอร์(ชิป) ชั้นนำของโลก  โดยได้มีการหารือกับ 10 บริษัท อาทิ Microchip, Analog Devices, Lumentum, NXP รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Intel, Qorvo, Synopsys และ Renesas เพื่อเชิญชวนขยายการลงทุนในไทย โดยเฉพาะด้านชิปต้นน้ำที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงการโรดโชว์ครั้งนี้ต่อยอดจากการเยือนสหรัฐฯ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายของบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ที่ตั้งไว้

ส่วนอีกมาตรการที่สำคัญคือ การดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย ผ่านมาตรการวีซ่าชนิดพิเศษ “Long-Term Resident Visa (LTR Visa)” สำหรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (Highly Skilled Professionals) 2) ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับนายจ้างในต่างประเทศ  3) ผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง และ 4) ผู้เกษียณอายุ  โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 

“ปัจจุบันมีผู้ได้รับอนุมัติ LTR Visa รวมกว่า 7,000 คน จากทั้งกลุ่มยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย โดยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจกว่า 23,000 ล้านบาท” 

เป็นเม็ดเงินจาก 4 ช่องทางหลัก ได้แก่ ค่าธรรมเนียมวีซ่า ประมาณการค่าใช้จ่ายในประเทศไทยของผู้ถือวีซ่า การลงทุนโดยตรง และรายได้ภาษีจากผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง

ตรงนี้ถือต้องยกให้เป็นผลงานที่รัฐบาลชุดเก่าทำไว้ ต้องติดตามว่าการเข้ามาของรัฐบาลภูมิใจไทย ที่มีดรีมทีมเศรษฐกิจจากคนนอก จะผลักดันการลงทุนของไทยให้เพิ่มขึ้นอย่างไร 

 

ที่มาข้อมูล : บีโอไอ KKP Research

ที่มารูปภาพ : canva