ในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างกูเกิล (Google) ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออัลฟาเบท (Alphabet) เข้าไปลงทุนในมาเลเซีย ส่งผลให้ยอดอนุมัติการลงทุนของรัฐบาลมาเลเซีย สูงถึง 378,500 ล้านริงกิต เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 15 คิดเป็น 85,800 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเงินลงทุนดังกล่าวสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ถ้าไปดูว่าชาติไหนมาลงทุนมาเลเซียมากสุด พบว่า สหรัฐฯ ครองตำแหน่งนักลงทุนต่างชาติอันดับ 1 ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 32,800 ล้านริงกิต รองลงมาอันดับ 2. เยอรมนี 32,200 ล้านริงกิต 3.จีน 28,200 ล้านริงกิต 4.สิงคโปร์ 27,300 ล้านริงกิต
ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า แม้เศรษฐกิจโลกเผชิญความท้าทายในหลายด้าน แต่ภาคธุรกิจเชื่อว่าสภาพแวดล้อมการดำเนินงานในมาเลเซียจะยังคงมีเสถียรภาพ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อความสามารถของมาเลเซียในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
ล่าสุด มีรายงานข่าวออกมาว่า มาเลเซียเปิดตัวชิปประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นแรกของประเทศเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ MARS1000 ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทสตาร์ตอัปมาเลเซียอย่างสกายชิป (SkyeChip)
ชิปดังกล่าวสามารถใช้ประมวลผลภายในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น รถยนต์ หุ่นยนต์ และอุปกรณ์อัจฉริยะ และนับเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนความพยายามของประเทศในการก้าวขึ้นสู่ผู้เล่นรายใหม่ในตลาดเทคโนโลยี AI ระดับโลก
ซีอีโอของ SkyeChip กล่าวว่าชิปประมวลผล MARS1000 ถูกสร้างขึ้นโดยใช้กระบวนการ 7 นาโนเมตร ซึ่งไม่ต่างจากกระบวนการที่บริษัทอื่นๆ เช่น AMD, Intel และ NVIDIA ใช้สำหรับชิปประมวลผล AI ของตนเองมากนัก
ก่อนหน้านี้หลายๆ ประเทศมีความกังวลที่จะใช้ชิปของประเทศอื่นๆ เพราะกังวลความปลอดภัยของข้อมูล ทางผู้ผลิตชิปของมาเซีย ระบุว่า ชิปประมวลผลนี้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ผลิตในมาเลเซียและใช้ในมาเลเซีย เพื่อให้เกิดความมั่นใจด้านความปลอดภัย
ปัจจุบัน มาเลเซียมีจุดแข็งด้านการบรรจุชิป ตลอดจนเป็นฐานสำคัญของผู้ผลิตอุปกรณ์ระดับโลกอย่าง แลม รีเสิร์ช (Lam Research) นอกจากนี้ยังดึงดูดการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น ออราเคิล (Oracle) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) ที่เข้ามาลงทุนตั้งศูนย์ข้อมูล AI ในประเทศ
มาเลเซียเป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางการทดสอบและบรรจุชิปเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก โดยมีการบรรจุและทดสอบชิปประมวลผลร้อยละ 10 ของอุปทานชิปประมวลผลทั่วโลกในประเทศด้วย
รัฐบาลมาเลเซียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ได้ประกาศแผนลงทุนกว่า 25,000 ล้านริงกิต เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมนี้ โดยมาเลเซียมีเป้าหมายในการยกระดับการออกแบบชิป การผลิตเวเฟอร์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล AI
การที่มาเลเซียสามารถผลิตชิป MARS1000 ถือก้าวใหม่ในการเข้าสู่อุตสาหกรรมการออกแบบและการผลิตชิป ซึ่งรัฐบาลมาเลเซีย หวังว่าความสำเร็จนี้จะทำให้มาเลเซียแข่งขันกับประเทศต่างๆ เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นได้
แต่มีประเด็นที่ต้องติดตาม คือ แรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่อาจออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังมาเลเซียและไทย ท่ามกลางความกังวลเรื่องการลักลอบส่งต่อไปยังจีน ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียยืนยันว่าจะเข้มงวดการควบคุมและไม่ยอมให้ประเทศถูกใช้เป็นช่องทางในการค้าผิดกฎหมาย
ถ้าเปรียบเทียบกับไทย พบว่า มาเลเซียได้เปรียบในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มานานแล้วในด้านการประกอบและทดสอบ (Packaging & Testing) การที่มาเลเซียเริ่มรุกเข้าสู่การออกแบบและพัฒนาชิปเองจะทำให้มาเลเซียมีความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นในการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก
สรุปข่าว
ในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างกูเกิล (Google) ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออัลฟาเบท (Alphabet) เข้าไปลงทุนในมาเลเซีย ส่งผลให้ยอดอนุมัติการลงทุนของรัฐบาลมาเลเซีย สูงถึง 378,500 ล้านริงกิต เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 15 คิดเป็น 85,800 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเงินลงทุนดังกล่าวสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ถ้าไปดูว่าชาติไหนมาลงทุนมาเลเซียมากสุด พบว่า สหรัฐฯ ครองตำแหน่งนักลงทุนต่างชาติอันดับ 1 ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 32,800 ล้านริงกิต รองลงมาอันดับ 2. เยอรมนี 32,200 ล้านริงกิต 3.จีน 28,200 ล้านริงกิต 4.สิงคโปร์ 27,300 ล้านริงกิต
ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า แม้เศรษฐกิจโลกเผชิญความท้าทายในหลายด้าน แต่ภาคธุรกิจเชื่อว่าสภาพแวดล้อมการดำเนินงานในมาเลเซียจะยังคงมีเสถียรภาพ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อความสามารถของมาเลเซียในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
ล่าสุด มีรายงานข่าวออกมาว่า มาเลเซียเปิดตัวชิปประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นแรกของประเทศเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ MARS1000 ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทสตาร์ตอัปมาเลเซียอย่างสกายชิป (SkyeChip)
ชิปดังกล่าวสามารถใช้ประมวลผลภายในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น รถยนต์ หุ่นยนต์ และอุปกรณ์อัจฉริยะ และนับเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนความพยายามของประเทศในการก้าวขึ้นสู่ผู้เล่นรายใหม่ในตลาดเทคโนโลยี AI ระดับโลก
ซีอีโอของ SkyeChip กล่าวว่าชิปประมวลผล MARS1000 ถูกสร้างขึ้นโดยใช้กระบวนการ 7 นาโนเมตร ซึ่งไม่ต่างจากกระบวนการที่บริษัทอื่นๆ เช่น AMD, Intel และ NVIDIA ใช้สำหรับชิปประมวลผล AI ของตนเองมากนัก
ก่อนหน้านี้หลายๆ ประเทศมีความกังวลที่จะใช้ชิปของประเทศอื่นๆ เพราะกังวลความปลอดภัยของข้อมูล ทางผู้ผลิตชิปของมาเซีย ระบุว่า ชิปประมวลผลนี้สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ผลิตในมาเลเซียและใช้ในมาเลเซีย เพื่อให้เกิดความมั่นใจด้านความปลอดภัย
ปัจจุบัน มาเลเซียมีจุดแข็งด้านการบรรจุชิป ตลอดจนเป็นฐานสำคัญของผู้ผลิตอุปกรณ์ระดับโลกอย่าง แลม รีเสิร์ช (Lam Research) นอกจากนี้ยังดึงดูดการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น ออราเคิล (Oracle) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) ที่เข้ามาลงทุนตั้งศูนย์ข้อมูล AI ในประเทศ
มาเลเซียเป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางการทดสอบและบรรจุชิปเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก โดยมีการบรรจุและทดสอบชิปประมวลผลร้อยละ 10 ของอุปทานชิปประมวลผลทั่วโลกในประเทศด้วย
รัฐบาลมาเลเซียภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ได้ประกาศแผนลงทุนกว่า 25,000 ล้านริงกิต เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมนี้ โดยมาเลเซียมีเป้าหมายในการยกระดับการออกแบบชิป การผลิตเวเฟอร์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล AI
การที่มาเลเซียสามารถผลิตชิป MARS1000 ถือก้าวใหม่ในการเข้าสู่อุตสาหกรรมการออกแบบและการผลิตชิป ซึ่งรัฐบาลมาเลเซีย หวังว่าความสำเร็จนี้จะทำให้มาเลเซียแข่งขันกับประเทศต่างๆ เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นได้
แต่มีประเด็นที่ต้องติดตาม คือ แรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่อาจออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังมาเลเซียและไทย ท่ามกลางความกังวลเรื่องการลักลอบส่งต่อไปยังจีน ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียยืนยันว่าจะเข้มงวดการควบคุมและไม่ยอมให้ประเทศถูกใช้เป็นช่องทางในการค้าผิดกฎหมาย
ถ้าเปรียบเทียบกับไทย พบว่า มาเลเซียได้เปรียบในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มานานแล้วในด้านการประกอบและทดสอบ (Packaging & Testing) การที่มาเลเซียเริ่มรุกเข้าสู่การออกแบบและพัฒนาชิปเองจะทำให้มาเลเซียมีความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นในการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก
นอกจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แล้ว รัฐบาลมาเลเซียยังส่งเสริมการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติของรัฐบาลปี 2569-2573 “ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568มีการอนุมัติการลงทุนในภาค AI กว่า 3,150 ล้านเหรียญสหรัฐ”
ทาง โรเบิร์ต วอลเทอร์ส (Robert Walters) บริษัทจัดหาบุคลากรระดับโลกเปิดเผยว่า “มาเลเซียมีแนวโน้มจะได้รับเงินจาก AI และดาต้าเซ็นเตอร์มากกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2573”
ฟิลล์ บราวน์ หัวหน้าฝ่ายข้อมูลด้านการตลาดของโรเบิร์ต วอลเทอร์สกล่าวว่า การวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นบทบาทที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของมาเลเซียในฐานะสถานที่เชิงกลยุทธ์สำหรับบริการนอกประเทศ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นในมาเลเซีย มาจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกและผู้ให้บริการคลาวด์ขนาดใหญ่ คาดว่าจะช่วยวางตำแหน่งมาเลเซียให้เป็นศูนย์กลาง AI และศูนย์ข้อมูลชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขยายบทบาทของประเทศในด้านการจ้างงานและบริการนอกประเทศที่มีมูลค่าสูง
แต่มีประเด็นที่กระทบการลงทุนดาตาเซ็นเตอร์ มีรายงานล่าสุดออกมาว่า รัฐบาลมาเลเซียชะลอการขยายตัวของโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตไฟฟ้าและปริมาณน้ำไม่เพียงพอ
รัฐยะโฮร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการลงทุนหลัก ได้ปฏิเสธคำขอโครงการไปแล้วร้อยละ 30 เนื่องจากโครงการลงทุนที่ขอมานั้นไม่ผ่านมาตรฐานการใช้พลังงานและน้ำอย่างยั่งยืน
มาเลเซีย ซึ่งเป็นจุดหมายสำคัญของการลงทุนศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ประกาศชะลอการขยายตัวของโครงการลงทุน ดาต้าเซ็นเตอร์ ท่ามกลางข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตไฟฟ้า ปริมาณน้ำ
รวมถึงยังมีแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาที่ป้องกันไม่ให้บริษัทจีนใช้มาเลเซียเป็นช่องทางเข้าถึงชิปประสิทธิภาพสูงของสหรัฐที่อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมการส่งออก
ส่วนอีกอุตสาหกรรมน่าจับตามอง คือ “อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ (Aerospace Industry) มาเลเซียตั้งเป้าว่าจะสร้างรายได้สูงถึง 30,000 ล้านริงกิต หรือประมาณ 2.26 แสนล้านบาทภายในปี 2568 เพิ่มขึ้นจาก 25,100 ล้านริงกิตในปี 2567การเติบโตนี้สะท้อนถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของประเทศในฐานะศูนย์กลางการผลิตด้านการบินที่สำคัญของภูมิภาค”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรม (MITI) ของมาเลเซีย( เต็งกู ดาโต๊ะ เสรี ซาฟรูล เต็งกู อับดุล อาซีซ) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมการบินและอวกาศของมาเลเซียกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา รายได้รวมของอุตสาหกรรมแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีที่ 25,100 ล้านริงกิต และยังช่วยสนับสนุนการจ้างงานกว่า 30,000 ตำแหน่งในสายอาชีพที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูง
ขณะเดียวกัน มาเลเซียยังดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ จากบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Airbus และ Boeing ที่ขยายฐานธุรกิจ รวมถึง CTRM (Composites Technology Research Malaysia) ที่เป็นผู้นำในการผลิตวัสดุคอมโพสิตและจัดหาชิ้นส่วนสำคัญให้กับผู้ผลิตอุปกรณ์การบิน (OEM) ระดับสากล
ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนถึง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่มองมาเลเซียเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมการบินขั้นสูงและมีมูลค่าสูงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
มีการวิเคราะห์จากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ของไทยว่า การที่มาเลเซียตั้งเป้าให้อุตสาหกรรมการบินและอวกาศสะท้อนถึงการยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูงของประเทศ โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีการบินและวัสดุคอมโพสิต ไม่เพียงสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนระดับโลก เช่น Airbus และ Boeing แต่ยังทำให้มาเลเซียมีศักยภาพในการเป็น ศูนย์กลางการผลิตด้านการบินของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในระยะยาว
สำหรับประเทศไทย แม้อุตสาหกรรมการบินยังอยู่ในช่วงพัฒนา แต่การขยายตัวของมาเลเซียอาจส่งผลให้ไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในการดึงดูดการลงทุนต่างชาติ
- เอไอกับการศึกษา หากใช้มากไป สมองอาจไม่พัฒนา
- "ฮุน มาเนต" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยินดี "อนุทิน" ขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรี
- สรุปประเด็น Orb จาก World เก็บ “ภาพม่านตา” คนไทย จริงไหม? หลังถูกตั้งคำถาม เก็บข้อมูลส่วนบุคคล
- แผ่นดินไหวขนาด 4.1 ที่รัฐยะโฮร์ มาเลเซีย เสียหายเล็กน้อย
- "ชิป" สายลับจากสหรัฐฯ คืออะไร? ทำไมจีนถึงกลัว กระแสแรง ป่วนตลาดส่งออกเทคโนโลยี
ที่มาข้อมูล : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักข่าวซินหัว รอยเตอร์
ที่มารูปภาพ : canva
