ธปท.คาดการใช้เงินสดวูบเหลือร้อยละ 10-20

ธปท.คาดการใช้เงินสดวูบเหลือร้อยละ 10-20

ดร.ดารณี แซ่จูผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเ งินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สัดส่วนการใช้เงินสดของไทยทยอยลดลง โดยในปี 2567 สัดส่วนการใช้เงินสดของไทยอยู่ที่ร้อยละ 31 ของมูลค่าการชำระเงินทั้งหมด ขณะที่การใช้บัตรเครดิต บัตรเดบิท และ e-wallet มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 25  และการใช้พร้อมเพย์มีสัดส่วนมากที่สุดร้อยละ 41

แม้สัดส่วนการใช้เงินสดของไทยจะลดลงแต่ยังเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อาทิ มาเลเซีย (ร้อยละ 23) บราซิล (ร้อยละ 17) อินโดนีเซีย (ร้อยละ 15 ) สิงคโปร์ (ร้อยละ 13)  เป็นต้น 

ดังนั้น แนวโน้มการใช้เงินสดยังลดลงได้ต่อเนื่อง โดยในรายงานทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงินภายใต้ภูมิทัศน์ภาคการเงินไทยฉบับใหม่ (ปี 2568) เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาระบบการชำระเงินให้สอดคล้องกับพัฒนาการข้างต้นและบริบทไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการต่อยอดจากระบบการชำระเงินปัจจุบัน ด้วยการยกระดับระบบพร้อมเพย์ให้มีนวัตกรรมและบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกกลุ่มมากขึ้น 



สรุปข่าว

แบงก์ชาติ คาดในอีก 5 ปีสัดส่วนการใช้เงินสดจะลดลงเหลือร้อยละ 10-20 จากร้อยละ 31 ในปี 2567 ภายใต้แผนพัฒนาระบบการชำระเงินฯ ระยะ 3-5 ปี โดยยกระดับระบบพร้อมเพย์ และเตรียมความพร้อมสำหรับนวัตกรรมการชำระเงินในอนาคต

ดร.ดารณี แซ่จูผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเ งินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สัดส่วนการใช้เงินสดของไทยทยอยลดลง โดยในปี 2567 สัดส่วนการใช้เงินสดของไทยอยู่ที่ร้อยละ 31 ของมูลค่าการชำระเงินทั้งหมด ขณะที่การใช้บัตรเครดิต บัตรเดบิท และ e-wallet มีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 25  และการใช้พร้อมเพย์มีสัดส่วนมากที่สุดร้อยละ 41

แม้สัดส่วนการใช้เงินสดของไทยจะลดลงแต่ยังเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อาทิ มาเลเซีย (ร้อยละ 23) บราซิล (ร้อยละ 17) อินโดนีเซีย (ร้อยละ 15 ) สิงคโปร์ (ร้อยละ 13)  เป็นต้น 

ดังนั้น แนวโน้มการใช้เงินสดยังลดลงได้ต่อเนื่อง โดยในรายงานทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงินภายใต้ภูมิทัศน์ภาคการเงินไทยฉบับใหม่ (ปี 2568) เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาระบบการชำระเงินให้สอดคล้องกับพัฒนาการข้างต้นและบริบทไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการต่อยอดจากระบบการชำระเงินปัจจุบัน ด้วยการยกระดับระบบพร้อมเพย์ให้มีนวัตกรรมและบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกกลุ่มมากขึ้น 



และการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับนวัตกรรมการชำระเงินในอนาคต ผ่านการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี DLT (Distributed Ledger Technology) หรือบล็อกเชน  และ tokenization ควบคู่กับการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ใช้งานและระบบการเงิน 

ดร.ดารณีคาดว่า หากสามารถดำเนินการได้ตามพัฒนาระบบการชำระเงินฯ ระยะ 3-5 ปีดังกล่าวได้ คาดว่าจะส่งผลให้สัดส่วนการใช้เงินสดของคนไทยปรับลดลงเหลือร้อยละ 10-20  และการใช้ Digital Payment จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอีก  


ทั้งนี้ ธปท. มุ่งพัฒนาระบบการชำระเงินไทยให้มีความน่าเชื่อถือและมีเสถียรภาพ  มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควบคู่กับการส่งเสริมการเข้าถึงทั้งบริการชำระเงินและบริการทางการเงินได้อย่างครอบคลุม เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก มีทางเลือกที่หลากหลาย และได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม 

ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจและ SMEs สามารถดำเนินธุรกิจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลของตนเองเพื่อเข้าถึงบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ในมิติต่าง ๆ ตลอดจนเศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยมีระบบชำระเงินเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน 

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN