“ดูไบ”เมืองที่ดึงดูดเศรษฐีทั่วโลกมากที่สุด

Share on Line Share on Facebook Share on X

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ผลการจัดอันดับจากบริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ Savills Plc ซึ่งประเมิน 30 เมืองทั่วโลกตามระดับความน่าดึงดูดสำหรับผู้มีความมั่งคั่งสูง (High-Net-Worth Individuals: HNWIs) ระบุว่า ดูไบเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนรวยทั่วโลก โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญคือ ระบบภาษีที่เป็นมิตร ทั้งการยกเว้นภาษีมรดก ภาษีกำไรจากการลงทุน (Capital Gains Tax) และภาษีทรัพย์สิน (Wealth Tax) รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านครอบครัวและความปลอดภัยที่อยู่ในระดับสูง

โดย Savills ระบุว่าความมั่งคั่งทั่วโลกกำลังฟื้นตัวจากภาวะชะลอตัวในปี 2565 โดยภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเติบโตเร็วที่สุดในโลก ในปี 2567 มีผู้มีทรัพย์สินระดับล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นกว่า 680,000 คน หรือขยายตัว 1.2% จากปีก่อนหน้า และคาดว่าจะมีเพิ่มอีกกว่า 5 ล้านคนภายในปี 2572

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการย้ายถิ่นของผู้มั่งคั่งคือ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจและภาษี โดยดูไบและนิวยอร์ก ซึ่งครองอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ ดึงดูดเศรษฐีจากทั่วโลกด้วยความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์และกฎระเบียบที่เป็นมิตรต่อธุรกิจ



สรุปข่าว

ผลการจัดอันดับโดย Savills Plc เผย “ดูไบ” ผงาดขึ้นแท่นเมืองที่ดึงดูดเศรษฐีมากที่สุดในโลก ด้วยจุดแข็งด้านภาษีต่ำ ความปลอดภัยสูง และคุณภาพชีวิตระดับสากล ขณะที่ “กรุงเทพฯ” ติดอันดับที่ 17 จาก 30 เมืองทั่วโลก

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ผลการจัดอันดับจากบริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ Savills Plc ซึ่งประเมิน 30 เมืองทั่วโลกตามระดับความน่าดึงดูดสำหรับผู้มีความมั่งคั่งสูง (High-Net-Worth Individuals: HNWIs) ระบุว่า ดูไบเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนรวยทั่วโลก โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญคือ ระบบภาษีที่เป็นมิตร ทั้งการยกเว้นภาษีมรดก ภาษีกำไรจากการลงทุน (Capital Gains Tax) และภาษีทรัพย์สิน (Wealth Tax) รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านครอบครัวและความปลอดภัยที่อยู่ในระดับสูง

โดย Savills ระบุว่าความมั่งคั่งทั่วโลกกำลังฟื้นตัวจากภาวะชะลอตัวในปี 2565 โดยภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเติบโตเร็วที่สุดในโลก ในปี 2567 มีผู้มีทรัพย์สินระดับล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นกว่า 680,000 คน หรือขยายตัว 1.2% จากปีก่อนหน้า และคาดว่าจะมีเพิ่มอีกกว่า 5 ล้านคนภายในปี 2572

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการย้ายถิ่นของผู้มั่งคั่งคือ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจและภาษี โดยดูไบและนิวยอร์ก ซึ่งครองอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ ดึงดูดเศรษฐีจากทั่วโลกด้วยความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์และกฎระเบียบที่เป็นมิตรต่อธุรกิจ



สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ยังมีโครงการ Golden Visa ที่อนุญาตให้ผู้ลงทุนตั้งแต่ 2 ล้านดีแรห์ม หรือประมาณ 544,550 ดอลลาร์สหรัฐ ได้สิทธิ์พำนักระยะยาว 10 ปีในระบบภาษีต่ำ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มเศรษฐีระดับโลก

ขณะเดียวกันในอิตาลี การเก็บภาษีอัตราเหมาจ่าย (Flat Tax) สำหรับรายได้ทั่วโลก ก็ทำให้ความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่อย่างมิลานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

รายงานของ Savills ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนทิศจากศูนย์กลางการเงินแบบดั้งเดิมไปสู่เมืองที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เช่น เซินเจิ้น และเบงกาลูรู ซึ่งมีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นกว่า 100% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกโดยรวมเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้เมืองใหญ่อย่าง เซี่ยงไฮ้ กรุงเทพฯ และโตเกียว ได้รับอานิสงส์จากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้มีรายได้สูง


Savills ยังชี้ว่าภาษีมรดกเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าเศรษฐีสูงวัยจะเลือกซื้อบ้านในที่ใด โดยแม้ลอนดอนจะครองอันดับ 1 ด้านคุณภาพชีวิต แต่กลับร่วงในอันดับรวมเนื่องจากระบบภาษีของสหราชอาณาจักรที่สูง ทำให้ความต้องการอสังหาริมทรัพย์หรูในเมืองลดลงในปีนี้

 10 อันดับเมืองที่ดึงดูดเศรษฐีมากที่สุดในโลก

ดูไบ (Dubai)

นิวยอร์ก (New York)

สิงคโปร์ (Singapore)

ฮ่องกง (Hong Kong)

อาบูดาบี (Abu Dhabi)

โมนาโก (Monaco)

ลอสแอนเจลิส (Los Angeles – LA)

ไมอามี (Miami)

แอสเพน (Aspen)

ลอนดอน (London)

(17 )กรุงเทพฯ (Bangkok)

ที่มาข้อมูล : Savills Plc

ที่มารูปภาพ : TNN

แท็กบทความ

ย่อโลกเศรษฐกิจ
Savills Plc
ดูไบกรุงเทพฯ
Golden Visa
นิวยอร์ก (New York)