รายงานที่จัดทำโดย UOB ไพรเวต แบงก์, บอสตัน คอนซัลติง กรุ๊ป และมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ประเมินว่า ความมั่งคั่งส่วนบุคคลในเอเชียมีแนวโน้มแตะ 99 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2572 แต่เศรษฐีรุ่นบุกเบิกเกือบครึ่งหนึ่งยังไม่มีแผนส่งต่อความรวยให้กับทายาท
ผู้มีฐานะมั่งคั่งจำนวนมากวางแผนส่งต่อมรดกเมื่อถูกสถานการณ์บังคับ โดยร้อยละ 37 รอให้เกิดวิกฤตด้านสุขภาพจึงดำเนินการ และราวร้อยละ 43 ดำเนินการเมื่อสถานการณ์ทางธุรกิจบีบให้ทำ
สรุปข่าว
รายงานที่จัดทำโดย UOB ไพรเวต แบงก์, บอสตัน คอนซัลติง กรุ๊ป และมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ประเมินว่า ความมั่งคั่งส่วนบุคคลในเอเชียมีแนวโน้มแตะ 99 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2572 แต่เศรษฐีรุ่นบุกเบิกเกือบครึ่งหนึ่งยังไม่มีแผนส่งต่อความรวยให้กับทายาท
ผู้มีฐานะมั่งคั่งจำนวนมากวางแผนส่งต่อมรดกเมื่อถูกสถานการณ์บังคับ โดยร้อยละ 37 รอให้เกิดวิกฤตด้านสุขภาพจึงดำเนินการ และราวร้อยละ 43 ดำเนินการเมื่อสถานการณ์ทางธุรกิจบีบให้ทำ
รายงานเตือนว่า ปัญหานี้ไม่ได้ส่งผลแค่ความมั่งคั่งของครอบครัวเท่านั้น แต่เพราะมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจที่ผู้ก่อตั้งเป็นผู้นำ ซึ่งจ้างงานผู้คนหลายล้านคนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาค ดังนั้น หากเกิดความวุ่นวายในการส่งต่อธุรกิจก็อาจทำให้ทรัพย์สินถูกอายัดจากข้อพิพาทด้านกฎหมาย กระทบอาณาจักรธุรกิจของครอบครัว และเกิดความไร้เสถียรภาพสำหรับบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วแต่ขาดโครงสร้างการบริหารที่มีการกำกับดูแลที่ดี
นี่สะท้อนว่า ทางเลือกในการสืบทอดกิจการอย่างราบรื่นไม่ใช่แค่เรื่องในครอบครัว แต่ยังส่งผลต่อตลาดในภูมิภาคเอเชียที่ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเร็วสุดในโลก
รายงานฉบับนี้สำรวจข้อมูลจากบุคคลที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูง (high-net-worth individuals (HNWIs) ราว 228 คน ในเขตเศรษฐกิจเอเชีย 7 แห่ง โดยร้อยละ 91 ของผู้ก่อตั้งธุรกิจครอบครัว 46 ราย ต้องการรักษาอำนาจบริหารไว้ภายในครอบครัว แต่ร้อยละ 28 ระบุว่าทายาทของพวกเขาไม่สนใจ และร้อยละ 24 ระบุว่าทายาทที่เลือกให้รับไม้ต่อยังขาดความพร้อม
นอกจากนี้ ผู้ก่อตั้งธุรกิจมากกว่า 1 ใน 3 ยังเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องความมั่งคั่งทั้งหมดเพียงลำพัง และร้อยละ 28 ยังไม่ได้เปิดเผยพินัยกรรม
