“AI 2025” ลงทุนมหาศาลใช้งานผิวเผิน

Share on Line Share on Facebook Share on X

บริษัทวิจัยข้อมูลด้านธุรกิจ “การ์ตเนอร์” (Gartner) ประเมินว่า การใช้จ่ายด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลกน่าจะมีมูลค่าราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2568 และจะยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เนื่องจากผู้ให้บริการรายใหญ่ยังคงเพิ่มการลงทุนเกี่ยวกับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่มีฮาร์ดแวร์และหน่วยประมวลผลกราฟิก (graphics processing unit-GPU) ที่ปรับให้เหมาะสมกับ AI เพื่อขยายบริการให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น 

โดยภูมิทัศน์การลงทุนด้าน AI กำลังขยายออกไปนอกเหนือจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงบริษัทจีนและผู้ให้บริการคลาวด์ AI รายใหม่ ๆ นอกจากนี้ การลงทุนของธุรกิจร่วมลงทุน (venture capital) ในบริษัทผู้ให้บริการ AI ยังช่วยหนุนเม็ดเงินใช้จ่ายด้าน AI อีกด้วย ในปี 2569 คาดว่าการใช้จ่ายด้าน AI ทั่วโลกน่าจะทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากความก้าวหน้าด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการผนวก AI เข้ากับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC)

ความถี่และขนาดของข้อตกลงด้าน AI ที่เกิดขึ้นระยะหลัง ๆ สะท้อนถึงกระแสบูมที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ต้องพึ่งพากันมากขึ้น สำหรับการจัดหาเงินทุนและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนธุรกิจของกันและกัน ข้อมูลจาก “ไฟแนนเชียล ไทม์ส” (FT) ระบุว่า เฉพาะบริษัท “โอเพนเอไอ” (OpenAI) ผู้พัฒนาแชตบอตอัจฉริยะ “แชตจีพีที” (ChatGPT) เพียงแห่งเดียวได้ทำข้อตกลงกับบริษัทต่าง ๆ รวมมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ 

อย่างเมื่อเดือนกันยายน OpenAI ยืนยันจะลงทุน 3 แสนล้านดอลลาร์ใน “ออราเคิล” (Oracle) เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้าง Data Center ขนาดยักษ์ที่เรียกว่า “สตาร์เกต” (Stargate) มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ที่มีบริษัท “ซอฟต์แบงก์” ของญี่ปุ่นร่วมด้วย นอกจากนี้ OpenAI ยังทำข้อตกลง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อใช้บริการโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลจาก “คอร์วีฟ” (CoreWeave) ซึ่งใช้ชิปประมวลผลกราฟิกของ Nvidia ขณะเดียวกัน OpenAI ก็ประกาศความร่วมมือในการพัฒนาและติดตั้งชิปของ “บรอดคอม” (Broadcom) ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยมูลค่าข้อตกลง ในทางกลับกัน Nvidia ลงทุนใน OpenAI ราว 1 แสนล้านดอลลาร์ แต่ส่วนใหญ่ก็นำไปใช้เช่าชิป GPU ของ Nvidia เอง ส่วน “ไมโครซอฟท์” (Microsoft) ลงทุนใน OpenAI ราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ปี 2562

นอกเหนือจาก OpenAI ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางการลงทุน บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เหล่านี้ก็ยังลงทุนไปมาระหว่างกัน ยกตัวอย่าง Nvidia ที่ลงทุน 6.3 พันล้านดอลลาร์ ใน CoreWeave เป็นการรับซื้อกำลังการประมวลผลคลาวด์ของ CoreWeave ที่ขายไม่ออก ไปจนถึงปี 2575 ด้าน Oracle ก็ทำข้อตกลงซื้อชิปจาก Nvidia มูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลสำหรับ OpenAI ภายใต้โครงการ Stargate

ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนกังวลว่า เม็ดเงินลงทุนจำนวนมากอาจดันมูลค่าบริษัท AI ให้สูงเกินจริงจนเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ รายงานล่าสุดของ “เบน แอนด์ คอมพานี” ประเมินว่า บรรดาบริษัท AI จะต้องมีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ จึงจะเพียงพอในการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อความต้องการ AI ไปจนถึงปี 2573 ซึ่งยังขาดอยู่ราว 8 แสนล้านดอลลาร์ แต่อีกด้านของเหรียญมองว่าการลงทุนเป็นสิ่งจำเป็นที่จะผลักดันให้ AI เป็นจริง

สรุปข่าว

ยักษ์เทคโนโลยีสหรัฐฯ ยังเดินหน้าลงทุนด้าน “AI” ในปี 2569 ต่อเนื่องจากปีนี้ที่เม็ดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ แม้จะมีสัญญาณเตือน “ฟองสบู่” ขณะที่ผลการศึกษาล่าสุดของ “แมคคินซีย์” พบการใช้งาน AI ส่วนใหญ่อยู่แค่ขั้นทดลอง ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงแท้จริงหรือทำกำไร

บริษัทวิจัยข้อมูลด้านธุรกิจ “การ์ตเนอร์” (Gartner) ประเมินว่า การใช้จ่ายด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลกน่าจะมีมูลค่าราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2568 และจะยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เนื่องจากผู้ให้บริการรายใหญ่ยังคงเพิ่มการลงทุนเกี่ยวกับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่มีฮาร์ดแวร์และหน่วยประมวลผลกราฟิก (graphics processing unit-GPU) ที่ปรับให้เหมาะสมกับ AI เพื่อขยายบริการให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น 

โดยภูมิทัศน์การลงทุนด้าน AI กำลังขยายออกไปนอกเหนือจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงบริษัทจีนและผู้ให้บริการคลาวด์ AI รายใหม่ ๆ นอกจากนี้ การลงทุนของธุรกิจร่วมลงทุน (venture capital) ในบริษัทผู้ให้บริการ AI ยังช่วยหนุนเม็ดเงินใช้จ่ายด้าน AI อีกด้วย ในปี 2569 คาดว่าการใช้จ่ายด้าน AI ทั่วโลกน่าจะทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากความก้าวหน้าด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการผนวก AI เข้ากับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC)

ความถี่และขนาดของข้อตกลงด้าน AI ที่เกิดขึ้นระยะหลัง ๆ สะท้อนถึงกระแสบูมที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ต้องพึ่งพากันมากขึ้น สำหรับการจัดหาเงินทุนและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อสนับสนุนธุรกิจของกันและกัน ข้อมูลจาก “ไฟแนนเชียล ไทม์ส” (FT) ระบุว่า เฉพาะบริษัท “โอเพนเอไอ” (OpenAI) ผู้พัฒนาแชตบอตอัจฉริยะ “แชตจีพีที” (ChatGPT) เพียงแห่งเดียวได้ทำข้อตกลงกับบริษัทต่าง ๆ รวมมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ 

อย่างเมื่อเดือนกันยายน OpenAI ยืนยันจะลงทุน 3 แสนล้านดอลลาร์ใน “ออราเคิล” (Oracle) เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี ซึ่งนี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้าง Data Center ขนาดยักษ์ที่เรียกว่า “สตาร์เกต” (Stargate) มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ที่มีบริษัท “ซอฟต์แบงก์” ของญี่ปุ่นร่วมด้วย นอกจากนี้ OpenAI ยังทำข้อตกลง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อใช้บริการโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลจาก “คอร์วีฟ” (CoreWeave) ซึ่งใช้ชิปประมวลผลกราฟิกของ Nvidia ขณะเดียวกัน OpenAI ก็ประกาศความร่วมมือในการพัฒนาและติดตั้งชิปของ “บรอดคอม” (Broadcom) ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยมูลค่าข้อตกลง ในทางกลับกัน Nvidia ลงทุนใน OpenAI ราว 1 แสนล้านดอลลาร์ แต่ส่วนใหญ่ก็นำไปใช้เช่าชิป GPU ของ Nvidia เอง ส่วน “ไมโครซอฟท์” (Microsoft) ลงทุนใน OpenAI ราว 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ปี 2562

นอกเหนือจาก OpenAI ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางการลงทุน บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เหล่านี้ก็ยังลงทุนไปมาระหว่างกัน ยกตัวอย่าง Nvidia ที่ลงทุน 6.3 พันล้านดอลลาร์ ใน CoreWeave เป็นการรับซื้อกำลังการประมวลผลคลาวด์ของ CoreWeave ที่ขายไม่ออก ไปจนถึงปี 2575 ด้าน Oracle ก็ทำข้อตกลงซื้อชิปจาก Nvidia มูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลสำหรับ OpenAI ภายใต้โครงการ Stargate

ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนกังวลว่า เม็ดเงินลงทุนจำนวนมากอาจดันมูลค่าบริษัท AI ให้สูงเกินจริงจนเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ รายงานล่าสุดของ “เบน แอนด์ คอมพานี” ประเมินว่า บรรดาบริษัท AI จะต้องมีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ จึงจะเพียงพอในการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อความต้องการ AI ไปจนถึงปี 2573 ซึ่งยังขาดอยู่ราว 8 แสนล้านดอลลาร์ แต่อีกด้านของเหรียญมองว่าการลงทุนเป็นสิ่งจำเป็นที่จะผลักดันให้ AI เป็นจริง

สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าตลาดอยู่ในอันดับต้น ๆ 4 แห่ง ทั้ง “เมตา แพลตฟอร์มส์” (Meta) บริษัทแม่ “เฟซบุ๊ก”, “อัลฟาเบต” (Alphabet) บริษัทแม่ “กูเกิล”, “ไมโครซอฟท์” และ “แอมะซอน” (Amazon) ประกาศแผนลงทุนด้าน AI รวมประมาณ 4 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้ และมีแนวโน้มจะเพิ่มการลงทุนในปี 2569 

กรณีของ Meta ยังเผชิญข้อจำกัดที่กระทบต่อศักยภาพ เนื่องจากต้องฝึกอบรมโมเดล AI ใหม่ ๆ และสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานขอผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ไปพร้อมกัน “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” CEO ระบุในงานแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ว่า ความต้องการทรัพยากรด้านการประมวลผลเพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุด บริษัทจึงต้องทำให้แน่ใจว่าไม่ได้ลงทุนน้อยเกินไป เพื่อให้ติดกลุ่มผู้นำในสมรภูมิ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทก็ส่งสัญญาณจะใช้จ่ายด้านนี้เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าน่าจะอยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วน Microsoft เผชิญปัญหาการประมวลผลไม่เพียงพอรองรับความต้องการบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของลูกค้า ทำให้มีแผนเพิ่ม Data Center อีกเท่าตัวภายใน 2 ปีข้างหน้า 

ด้าน Alphabet มีแผนจะเพิ่มการลงทุนจาก 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็น 9.1-9.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งการลงทุนเหล่านี้ให้ผลตอบแทนแล้ว โดยในไตรมาสล่าสุดสามารถสร้างรายได้หลายพันล้านดอลลาร์จาก AI ส่วน Amazon เน้นเพิ่มความสามารถด้านคลาวด์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าบริษัทยังไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจนสำหรับการลงทุนด้าน AI ในปี 2569 แต่บริษัทประกาศว่ารายจ่ายด้านการลงทุนทั้งหมด (capex) ในปีหน้าจะสูงกว่า 1.25 แสนล้านดอลลาร์ที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้ รายจ่ายส่วนใหญ่จะมุ่งเน้น AI และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องสำหรับธุรกิจคลาวด์ “แอมะซอน เว็บ เซอร์วิเซส” (AWS) ขณะที่ “แอปเปิล” ยักษ์เทคโนโลยีอีกรายประกาศจะเพิ่มการลงทุนด้าน AI เช่นกัน แม้ว่ารายจ่ายโดยรวมจะน้อยกว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อื่น ๆ


ความแพร่หลายของ AI มีส่วนเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานของผู้คนไปจากเดิม รายงาน “สถานะของ AI ในปี 2568” (The state of AI in 2025: Agents, innovation, and transformation) ของ “แมคคินซีย์ แอนด์ คอมพานี” (McKinsey & Company) พบว่า การใช้งาน AI ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยร้อยละ 88 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า องค์กรของตนมีการใช้งาน AI อย่างน้อย 1 ฟังก์ชันในการทำงาน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 78 ในปีที่แล้ว แต่ส่วนใหญ่หรือราวร้อยละ 62 ยังอยู่แค่ระยะทดลอง มีเพียงร้อยละ 31 ที่ขยายการใช้งานในหลากหลายแผนก

เมื่อพิจารณาแยกรายธุรกิจ พบว่า การใช้งาน AI agent ซึ่งเป็นระบบที่อิงจากแบบจำลองพื้นฐานที่สามารถทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง วางแผนและดำเนินการหลายขั้นตอนในกระบวนการทำงานทั้งหมด แพร่หลายที่สุดในกลุ่มงาน IT และการจัดการความรู้ และเมื่อจำแนกตามอุตสาหกรรม การใช้งาน AI agent เกิดขึ้นแพร่หลายสุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี สื่อและโทรคมนาคม และการดูแลสุขภาพ

อย่างไรก็ตาม บริษัทหลายแห่ง โดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก ยังไม่ได้บูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการทำงาน ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่เมื่อวัดในแง่ของรายได้และจำนวนพนักงาน มีแนวโน้มที่จะใช้ AI ในหลายแผนกงาน ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่งจากบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ได้ริเริ่มใช้งาน AI ในหลายแผนกแล้ว เมื่อเทียบกับร้อยละ 29 ในบริษัทที่มีรายได้น้อยกว่า 100 ล้านดอลลาร์ 

การใช้ AI ยังไม่ส่งผลกระทบต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าการใช้ AI จะมีส่วนช่วยพัฒนานวัตกรรมขององค์กร เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน

องค์กรที่มีเป้าหมายด้าน AI ที่ชัดเจนกำลังได้รับประโยชน์สูงสุด โดยมีความตั้งใจที่จะใช้ AI เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางธุรกิจมากกว่าองค์กรอื่น ๆ ถึง 3 เท่า องค์กรเหล่านี้มีเป้าหมายมากกว่าแค่การลดต้นทุน ส่วนใหญ่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ องค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงลงทุนเกี่ยวกับความสามารถของ AI เพิ่มขึ้น โดยกว่า 1 ใน 3 จัดสรรงบประมาณด้าน AI มากกว่าร้อยละ 20 รวมทั้งมีแนวโน้มกำหนดเป้าหมายนวัตกรรมและการเติบโตทางธุรกิจจาก AI ไว้มากกว่าบริษัทอื่น ขณะเดียวกันก็ออกแบบระบบการทำงานใหม่ ไม่ใช่แค่เพิ่มความรวดเร็ว 

สำหรับผลกระทบต่อแรงงาน ร้อยละ 32 คาดว่าจะลดพนักงานลง ส่วนร้อยละ 43 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และร้อยละ 13 มีแนวโน้มจ้างงานเพิ่ม อย่างไรก็ราม ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ระบุว่า องค์กรของพวกเขามีการว่าจ้างตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI เพิ่มขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ถึงแม้ความต้องการบุคลากรด้านนี้จะแตกต่างกันไปตามขนาดของบริษัท แต่วิศวกรซอฟต์แวร์และวิศวกรข้อมูลเป็นตำแหน่งที่องค์กรต้องการมากที่สุด

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN

แท็กบทความ

เศรษฐกิจ insightAlphabet
แมคคินซีย์
ฟองสบู่
ยักษ์เทคโนโลยีสหรัฐฯ
AIMeta