“มหาอุทกภัยเอเชีย”เสียหาย 2 หมื่นล้านดอลลาร์

Share on Line Share on Facebook Share on X

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า อุทกภัยรุนแรงในหลายพื้นที่ของเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 1,300 คน และสร้างความเสียหายไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ปลายเดือนที่ผ่านมา สะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสภาพอากาศสุดขั้วต่อประชากรและเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของภูมิภาคนี้

บริษัทวิจัย BMI ของ Fitch Solutions ระบุว่าความเสี่ยงที่ภูมิภาคนี้จะเกิดภัยพิบัติซ้อน เหตุการณ์สุดขั้วหลายครั้งเกิดติดกัน จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และสร้างความเสียหายมากขึ้น โดยประเทศในภูมิภาคมีประชากรจำนวนมากอาศัยในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม เช่น มาเลเซีย 21% อินโดนีเซียราว 20% ขณะที่สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และศรีลังกา ราว 15% สัดส่วนนี้สูงกว่าเมื่อกลางทศวรรษ 2010 และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นและประชากรในพื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้น

นักวิเคราะห์ของ Capital Economics ระบุว่า ศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรมหลักของภูมิภาคยังแทบไม่ถูกกระทบ เมื่อเทียบกับน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ในไทยที่สร้างความเสียหายรุนแรงและฉุด GDP ติดลบสองหลัก




สรุปข่าว

“มหาอุทกภัยเอเชีย 2025” เขย่าเศรษฐกิจภูมิภาค เสียหาย 2 หมื่นล้านดอลลาร์ นักวิจัยเตือนภัยพิบัติซ้อนจะถี่ขึ้น ขณะที่ไทย-อินโดฯ แบกต้นทุนฟื้นฟูมหาศาลท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า อุทกภัยรุนแรงในหลายพื้นที่ของเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คร่าชีวิตประชาชนไปแล้วกว่า 1,300 คน และสร้างความเสียหายไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ปลายเดือนที่ผ่านมา สะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสภาพอากาศสุดขั้วต่อประชากรและเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของภูมิภาคนี้

บริษัทวิจัย BMI ของ Fitch Solutions ระบุว่าความเสี่ยงที่ภูมิภาคนี้จะเกิดภัยพิบัติซ้อน เหตุการณ์สุดขั้วหลายครั้งเกิดติดกัน จะเพิ่มขึ้นในอนาคต และสร้างความเสียหายมากขึ้น โดยประเทศในภูมิภาคมีประชากรจำนวนมากอาศัยในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม เช่น มาเลเซีย 21% อินโดนีเซียราว 20% ขณะที่สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และศรีลังกา ราว 15% สัดส่วนนี้สูงกว่าเมื่อกลางทศวรรษ 2010 และจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นและประชากรในพื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้น

นักวิเคราะห์ของ Capital Economics ระบุว่า ศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรมหลักของภูมิภาคยังแทบไม่ถูกกระทบ เมื่อเทียบกับน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ในไทยที่สร้างความเสียหายรุนแรงและฉุด GDP ติดลบสองหลัก




อย่างไรก็ตามค่าฟื้นฟูหลังภัยพิบัติจะสร้างภาระมหาศาลแก่ไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งกำลังพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่ให้หนี้การคลังบานปลาย รวมถึงศรีลังกาที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากภาวะผิดนัดชำระหนี้ในปี 2565

เฟรเดอริก นอยมัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์เอเชียของ HSBC กล่าวว่า “ภาวะอากาศสุดขั้วเพิ่มขึ้นทั้งความถี่และความรุนแรง ทำให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณมากขึ้นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะประเทศยากจนจะยิ่งเผชิญทางเลือกที่ยากลำบากมากขึ้น”

ในศรีลังกา พายุไซโคลน Ditwah คร่าชีวิตแล้วอย่างน้อย 465 คน และสร้างความเสียหายราว 1.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1% ของ GDP ตามข้อมูลของ CAL บริษัทวาณิชธนกิจในโคลัมโบ


ทางตอนใต้ของไทย พายุไซโคลน Senyar ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อศูนย์กลางเทคโนโลยีและท่องเที่ยว ความเสียหายทะลุ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ แล้ว ขณะที่การส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์หยุดชะงัก ซึ่งอาจทำให้ไทยสูญเสียรายได้เพิ่มอีก 400 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน หากสถานการณ์ยืดเยื้อ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวอาจหายไปเกือบทั้งหมดในช่วงแรกหลังน้ำลด ตามการประเมินของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ในอินโดนีเซีย พายุทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 700 คน และเกิดน้ำท่วม-ดินถล่มในสุมาตรา แหล่งผลิตถ่านหิน กาแฟ และน้ำมันปาล์มสำคัญ ความเสียหายรวมมากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 0.29% ของ GDP

ที่มาข้อมูล : สำนักข่าวบลูมเบิร์ก

ที่มารูปภาพ : TNN

แท็กบทความ

เศรษฐกิจ insight
เฟรเดอริก นอยมัน
มหาอุทกภัยเอเชีย
น้ำท่วมภาคใต้น้ำท่วมหาดใหญ่น้ำท่วม2568