"ดร.นิเวศน์" ยอมรับพลาดตกรถหุ้นทศเทพจีน

"ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ต้นแบบนักลงทุนหุ้นคุณค่า ได้แสดงความเห็นผ่านเว็บบอร์ดสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) โดยระบุถึงการต่อสู้หรือแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนใน “สงครามเย็น” ยุคใหม่ ดูเหมือนว่ากำลังรุนแรงขึ้นในทุกด้าน ตั้งแต่การเมืองระหว่างประเทศ ไปจนถึงเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเครื่องวัดว่าใครจะเป็น “ผู้ชนะ” และดัชนีชี้วัดตัวหนึ่งที่สำคัญมากในโลกยุคใหม่ก็คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์หรือราคาหุ้นที่เป็นตัวนำของประเทศ ซึ่งนาทีนี้ก็คือ “หุ้นเท็ค” ขนาดใหญ่

"ดร.นิเวศน์" ชี้ว่าก่อนหน้านี้ซัก 1-2 ปี ดูเหมือนว่าอเมริกาจะนำไปมาก โดยได้อานิสงค์จากเทคโนโลยี AI ซึ่งนำโดยหุ้น "NVIDIA" ตามด้วย "TESLA" แต่อย่างไรก็ตาม การปรากฏขึ้นของ "DEEPSEEK" ซึ่งสามารถสร้าง AI ได้ดีใกล้เคียงกับ "CHAT GPT" ด้วยต้นทุนเพียงเสี้ยวเดียว ก็ทำให้ภาพเปลี่ยนแปลงไปมาก และดูเหมือนว่าการแข่งขันจะใกล้เคียงกันขึ้นมาก ถึงขั้นหลายคนคิดว่าจีน กำลังจะเอาชนะอเมริกาได้ในเวลาอีกไม่นาน

และสัญญาณอีกอย่างหนึ่งก็คือ "ดัชนีตลาดหุ้น" โดยเฉพาะหุ้นเท็คขนาดใหญ่ของจีน ที่เคยเงียบเหงาและไม่ไปไหนมานาน ก็เริ่มขยับและวิ่งขึ้นมาอย่างแรง และเหนือกว่าหุ้นอเมริกาไปแล้ว โดยในช่วงประมาณ 1 ปี ที่ผ่านมา ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกง ปรับตัวขึ้นไปถึงประมาณร้อยละ 40 และจากต้นปีนี้ ก็ปรับตัวขึ้นไปแล้วประมาณร้อยละ 20 

ไม่ต้องพูดถึงหุ้นไฮเท็ค ที่พบว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงยิ่งกว่า โดยเฉพาะในช่วงเร็ว ๆ นี้ที่ประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" พบและจับมือกับ "แจ็คหม่า" ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลจีนเริ่มเปลี่ยนนโยบายเป็นการสนับสนุนหุ้นเท็คขนาดใหญ่แทนที่จะ “จัดการ” กับบริษัทยักษ์เหล่านั้นอย่างในอดีต

สรุปข่าว

ดร.นิเวศน์ ย้ำว่าจะลงทุนเฉพาะหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ซึ่งหุ้นจีนมีศักยภาพมากมาย แต่มีปัญหาในนโยบายรัฐและเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ผลประกอบการอาจถดถอย รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ที่อาจกระทบตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม หุ้นจีนกลับปรับตัวดีขึ้นเร็วมาก ดร.นิเวศน์จึงทำใจว่าอาจพลาดโอกาสลงทุนในหุ้นทศเทพจีน แต่หวังว่าจะมีโอกาสในอนาคต

"ดร.นิเวศน์" ตั้งข้อสังเกตุว่า การวิ่งของหุ้นไฮเท็คจีนอย่างแรงนั้น เป็นอาการเดียวกับหุ้นไฮเท็คยักษ์ในตลาดสหรัฐ นั่นคือ มากันเป็นกลุ่ม ซึ่งได้สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนสูงและเร็วมาก ขณะที่ภาพของหุ้นจีน โดยเฉพาะหุ้นเท็คขนาดใหญ่ ก็เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน และดูเหมือนคนจะเริ่มคิดว่า นี่ไม่ใช้เรื่องชั่วคราว ที่ราคาหุ้นขึ้นมาซักพักแล้วก็จะตกลงไปใหม่ อย่างที่เกิดขึ้นมาหลาย ๆ ครั้ง แต่หุ้นเหล่านั้น กำลังกลายเป็นหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ที่จะโดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับผลประกอบการที่จะดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศงบ อย่างกรณีล่าสุดของหุ้นอาลีบาบา ที่กำไร “โตระเบิด” และทำให้หุ้นดีดตัวขึ้นทันที 

ซึ่งหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ที่ "ดร.นิเวศน์" พูดถึง คือหุ้นกลุ่ม “Terrific Ten” (เทอริฟฟิค เท็น) ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นไฮเท็คจีนขนาดใหญ่ 10 ตัว ซึ่งในภาษาไทย "ดร.นิเวศน์" เรียกว่าเป็น “หุ้นทศเทพ” หรือหุ้น “เทพ” จีน 10 ตัว ประกอบไปด้วย หุ้นอาลีบาบา (BABA), JD.com, BYD, Geely, Xiaomi, Tencent, NetEase, Baidu, Meituan และ SMIC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปหมายเลขหนึ่งของจีน

"ดร.นิเวศน์" เล่าย้อนกลับไปก่อนก่อนหน้านี้ว่า หนึ่งในเป้าหมายสำคัญส่วนตัว คือการตั้งเป้าที่จะจัดพอร์ตการลงทุนในอนาคตอันใกล้ประมาณ 1-2 ปี ให้มีพอร์ตใหญ่ ๆ 3 กลุ่ม ที่มีขนาดพอ ๆ กัน คือพอร์ตแรกที่เป็นพอร์ตที่ลงทุนในหุ้นไทย พอร์ตที่สองจะลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม และพอร์ตที่สามจะลงทุนใน “หุ้นโลก” ซึ่งก็คือหุ้นของประเทศที่ก้าวหน้า ซึ่งรวมถึงหุ้นไฮเท็คขนาดใหญ่ระดับโลกด้วย

โดยขณะนี้ พอร์ตตลาดเวียดนาม "ดร.นิเวศน์" ได้ลงทุนครบแล้วที่ประมาณ 1 ใน 3 ของเงินทั้งหมด แต่ในส่วนของหุ้นไทย ยังมีหุ้นถึงเกือบ 2 ใน 3 ซึ่ง "ดร.นิเวศน์" ย้ำชัดว่ากำลังทยอยขายออกไปอย่างช้า ๆ เพื่อให้เหลือ 1 ใน 3 แต่ในส่วนของหุ้นโลกนั้น ยังไม่ได้ซื้อลงทุน เพราะอยู่ระหว่างศึกษาและเฝ้ารอดูสถานการณ์ และยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะซื้อหุ้นในตลาดไหน เวลาไหนและหุ้นตัวไหน 

อย่างไรก็ดี "ดร.นิเวศน์" ย้ำจุดยืนว่า หุ้นที่จะลงทุนโดยเฉพาะนอกประเทศไทย จะต้องเป็นหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ซึ่งถ้าพิจารณาในส่วนของหุ้นจีน ก็มีหุ้นที่เข้าเกณฑ์คุณสมบัติทางธุรกิจที่จะเป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อกอยู่ไม่น้อย และก็ดูเหมือนว่าราคาหุ้นเองก็ไม่แพง 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น จีนก็มีปัญหาเกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐที่ดูเหมือนว่าจะไม่เอื้ออำนวยต่อหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่เป็นเทคโนโลยี รวมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงไปมาก ซึ่งก็จะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ที่มักจะเน้นลูกค้าในประเทศเป็นหลักถดถอยลงไปด้วย

บวกกับเหตุที่ยัง “รีรอ” เพราะเกรงว่าเมื่อทรัมป์เริ่มสงครามการค้ากับจีน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นใน 2-3 เดือนข้างหน้า อาจจะทำให้ตลาดหุ้นถูกกระทบรุนแรง ซึ่งทั้งหุ้นจีนและหุ้นอเมริกา ก็อาจจะตกลงมารุนแรงด้วย ดังนั้น การ “รอ” จึงอาจจะปลอดภัยกว่า แต่อย่างไรก็ดี ในระหว่างรอ หุ้นจีนโดยเฉพาะหุ้นแนวซุปเปอร์สต็อกเหล่านี้ กลับปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว บางตัวขึ้นแรงถึงร้อยละ 40-50 ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน

ถึงตอนนี้ "ดร.นิเวศน์" จึงทำใจว่าตนเอง อาจจะ “ตกรถ” หุ้นทศเทพจีนครั้งนี้ แต่ก็ต้องปลอบใจตัวเองว่า การพลาดนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะในชีวิตการลงทุนก็พลาดมามากมาย โดยเฉพาะ “การพลาดแบบที่ไม่ทำอะไร” ทั้ง ๆ ที่ควรจะซื้อหุ้นลงทุน แต่อย่างไรก็ดี "ดร.นิเวศน์" ยังหวังว่าจะมีโอกาสได้ลงทุนในตลาดหุ้นจีนซักวันหนึ่ง เพราะในตลาดหุ้นนั้น โอกาสที่ “รถจะกลับมารับ” มีเสมอ เพียงแต่ต้องรู้จักรออย่างใจเย็น หรือถ้านานเกินไป ก็จะมีรถคันใหม่มาให้ขึ้นเสมอ

ที่มาข้อมูล : ThaiVI.org

ที่มารูปภาพ : ThaiVI.org