"ภาษีทรัมป์" เร่งเชื้อไฟ รัฐบาลรับมืออย่างไร กับเศรษฐกิจไทยที่เปราะบาง

“เรียบร้อยโรงเรียนทรัมป์” กับการประกาศมาตรการ “ภาษีศุลกากรตอบโต้” ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กับภารกิจรีดภาษีไม่เลือกหน้า ไม่ว่า “มิตรหรือศัตรู” ทุกประเทศในโลกถ้ามีแผ่นดินอยู่บนแผนที่โลก โดนกันแบบจุกอกถ้วนหน้า

สรุปข่าว

รัฐบาลไทยได้จัดตั้งคณะทำงานโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ และประเมินเงื่อนไขในการเจรจาอย่างใกล้ชิด แต่การรับมือกับมาตรการนี้ ภายใต้เงื่อนไขการเจรจากับสหรัฐอเมริกา "ไม่ใช่เรื่องง่าย" ผลกระทบที่ตามมาก็อาจจะรุนแรงกว่าที่คิดไว้ มาตรการรับมือ การเจรจาต้องเร่งมือ และเข้มข้นมากกว่าที่เตรียมไว้

“เรียบร้อยโรงเรียนทรัมป์” กับการประกาศมาตรการ “ภาษีศุลกากรตอบโต้” ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กับภารกิจรีดภาษีไม่เลือกหน้า ไม่ว่า “มิตรหรือศัตรู” ทุกประเทศในโลกถ้ามีแผ่นดินอยู่บนแผนที่โลก โดนกันแบบจุกอกถ้วนหน้า

การกำหนดมาตรการภาษีในครั้งนี้ สร้างความปั่นป่วนให้กับทุกสินทรัพย์ลงทุนทั่วโลก หุ้นตกทั่วโลก ทองคำพุ่งกระฉูด ไม่เว้นแม้แต่ตัวของสหรัฐอเมริกาเอง ที่ก็เจ็บหนักไม่แพ้ใคร นักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ทั่วโลก ถึงกับกุมขมับ เปิดตำรารับแทบไม่ทัน กับตัวเลขภาษีที่ออกมาสูงเกินจินตนาการ ตั้งแต่ 10% เป็นพื้นฐานกับทุกประเทศ จนไปถึงแตะระดับเฉียดๆ 50% สำหรับบางประเทศ

ส่วนประเทศไทยรอบนี้ “หนักกว่าที่คิด” เราถูกประกาศเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ตัวเลข 36% ไม่เคยอยู่ในคาดการณ์ของสำนักไหน ผลกระทบที่คาดการณ์ ต้องรื้อกันใหม่หมด และห้วงเวลาแห่งความตื่นตระหนก กำลังจะเป็นการซ้ำเติม เร่งเชื้อไฟ เผาไหม้ระบบเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก

16.00 น. บ่ายแก่ๆของวันที่ 2 เม.ย. 2568 หรือตีสามกลางดึกของประเทศไทย ณ Rose Garden ทำเนียบขาว โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยฝ่ายบริหาร ได้ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลกในอัตราที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ 10-49%

โดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งชื่อวันในการประกาศมาตรการนี้ว่า "วันแห่งการปลดปล่อย" และใช้ชื่องานประกาศนี้ว่า "Make America Wealthy Again" ซึ่งก็แปลความหมายได้ตรงตัวเลยว่าต้องการทำให้ ”สหรัฐอเมริกากลับมามั่งคั่งอีกครั้ง” และปลดปล่อยสหรัฐอเมริกาจากการถูกปล้น ถูกรุกราน ถูกข่มขืนใจ และถูกทำลายโดยประเทศต่าง ๆ ทั้งใกล้และไกล ทั้งจากมิตรและศัตรู ตามคำกล่าวของโดนัลด์ ทรัมป์

ก่อนหน้านี้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่กลุ่มประเทศ “Dirty 15” หรือกลุ่มประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามากที่สุด 15 อันดับของโลก ว่าจะเป็นประเทศกลุ่มแรก ๆ ที่โดนมาตรการภาษี ซึ่งก็ไม่มีอะไรพลิกโผ Dirty 15 โดนกันถ้วนหน้า ในอัตราที่สูงเกินคาด แล้ว 3 อันดับแรกใน Dirty 15 โดนสหรัฐอเมริการีดภาษีเท่าไหร่กันบ้างเรามาดูกัน

เริ่มที่คู่รักคู่แค้นอันดับ 1 อย่าง “จีน” ที่เกินดุลการค้าสหรัฐอเมริกามากที่สุดในโลกอยู่ถึง 2.95 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 34%

อันดับ 2 อย่าง “เม็กซิโก” ที่เกินดุลการค้าสหรัฐอเมริกาอยู่ถึง 1.72 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าไปก่อนหน้านี้ในอัตรา 25%

อันดับ 3 “เวียดนาม” ที่เกินดุลการค้าสหรัฐอเมริกาอยู่ถึง 1.23 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 46%

ส่วนประเทศอื่น ๆ ใน Dirty 15 ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ เช่น ประเทศในสหภาพยุโรปถูกประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 20%

ไต้หวัน ถูกประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 32%

ญี่ปุ่น ถูกประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 24%

เกาหลีใต้ ถูกประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25%

แคนาดา ถูกประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าไปก่อนหน้านี้ในอัตรา 25%

อินเดีย ถูกประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 26%

สวิสเซอร์แลนด์ ถูกประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 31%

มาเลเซีย ถูกประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 24%

อินโดนีเซีย ถูกประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 32%

ส่วนประเทศไทยที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯสูงเป็นอันดับที่ 11 ของโลก ซึ่งเกินดุลการค้าสหรัฐอเมริกาอยู่ 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% โดยสหรัฐฯอ้างว่าไทยเรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯสูงถึง 72%

แล้วผลกระทบกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะเป็นอย่างไร เมื่อเราไปย้อนดูมูลค่าการส่งออกของบริษัทจดทะเบียนไทยไปยังสหรัฐอเมริกาจะพบว่า บริษัทจดทะเบียนไทยมีรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯในปี 2024 อยู่ที่ 3.58 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 19.2% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทจดทะเบียนไทย ถือว่าหนักหนาสาหัสพอสมควร

ส่วนอุตสาหกรรมที่มีรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯมากที่สุดได้แก่กลุ่มอาหาร หรือ FOOD ที่มีรายได้จากการส่งออกอยู่ที่ 1.31 ล้านล้านบาท และรองลงมาคือกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หรือ PETRO ที่มีรายได้จากการส่งออกอยู่ที่ 1.21 ล้านล้านบาท และอันดับที่ 3 คือกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีรายได้จากการส่งออกอยู่ที่ 3.99 แสนล้านบาท ก็น่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ในขณะที่นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้าประเทศไทย คาดกลุ่มหุ้นที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบและควรหลีกเลี่ยงการลงทุนได้แก่ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, สินค้าเกษตร, นิคมอุตสาหกรรม และพลังงาน แนะนำหมุนเงินเข้าพักในสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นทองคำ, กองทุนพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกลุ่ม REIT & IFF ในขณะที่บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีมองกรอบล่างแนวรับของ SET Index ไว้ที่ 1,080 จุด

ส่วนการรับมือของประเทศไทยกับสงครามการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้น คุณพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP Research แนะไทยเร่งเจรจาต่อรองหลังสหรัฐฯ โดยมองว่า ประเทศไทยน่ามีทางเลือกอยู่ 3 ทาง

หนึ่ง สู้ (แบบ แคนาดา ยุโรป หรือจีน) ซึ่งเราอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะเราพึ่งพาเขาเยอะกว่าเขาพึ่งพาเราเยอะมาก สหรัฐเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเรา เราเกินดุลสหรัฐปีนึงหลายหมื่นล้าน (แม้ว่ามูลค่าของการเกินดุลจำนวนมากเป็นสินค้านำเข้าจากจีนที่อาศัยไทยเป็นช่องหลบเลี่ยงก็ตาม)

สอง หมอบ คือ เจรจาหาทางลงที่สหรัฐพอใจ เช่น ปรับลดภาษีที่เราเก็บเขาสูง ๆ ยอมเปิดตลาดที่เราปกป้องอยู่ (เช่นสินค้าเกษตรทั้งหลาย) ยกเลิก nontariff barrier เช่น การห้ามการนำเข้าเนื้อหมู ค่าตรวจสินค้า และ แค่นี้อาจจะไม่พอ เราอาจจะต้องนำเสนอทางออกให้สหรัฐอีก เช่น การนำเข้าพลังงาน นำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มเติม นำเข้าสินค้าใหญ่ ๆ อย่างเครื่องบิน อาวุธ เครื่องจักร หรือต้องหาทางเพิ่มการลงทุนในสหรัฐ เราอาจจะต้องเปิดเสรีด้านต่าง ๆ ที่สหรัฐบ่นมาตลอด เช่น บริการทางการเงิน การคุ้มครองสิทธิทางปัญญา ประเด็นสิทธิของแรงงาน

แต่แน่นอนว่าทางเลือกนี้ นอกจากการเจรจา “ภายนอก” แล้วต้องการการเจรจา “ภายใน” ที่มีประสิทธิภาพ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรจะยอมเปิดสินค้าเกษตรแลกกับภาคการส่งออก ใครจะยอมเสียประโยชน์ใครจะได้ประโยชน์ และเกมที่ยากที่สุดคือการหาว่าสหรัฐต้องการอะไรจริง ๆ เพราะอาจจะไม่ใช่เกมการค้า แต่เป็นเรื่องอื่นอย่างการทหาร ความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่เราคงต้องอ่านเกมดีๆและประเมินผลได้ผลเสีย

สาม ทน คือถ้าเราหาทางออกไม่ได้ ก็คงต้องทน หรือหาแนวร่วมจากเพื่อนหัวอกเดียวกันในการกดดันและเจรจากับสหรัฐ เพราะเกมนี้สหรัฐก็อาจจะเจ็บอยู่ไม่น้อย สุดท้ายอาจจะต้องลดภาษีลงมาถ้าแรงกดดันในประเทศเพียงพอ แต่การทนและได้แต่หวังแบบไม่มีแผนคงไม่ใช่กลยุทธ์ทางออกที่ดีนัก

ซึ่งทางคุณพิพัฒน์ ได้ย้ำอีกว่า ถ้าเลือกทางใดทางหนึ่งไม่ได้ ก็อาจจะต้องใช้ทั้ง 3 วิธีการในการรับมือกับสหรัฐฯ เป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลไทยหลังจากนี้ โดยล่าสุดนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คุณอุ๊งอิ๊ง แพรทองธาร ชินวัตร ได้จัดตั้งคณะทำงานโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ และประเมินเงื่อนไขในการเจรจาอย่างใกล้ชิด โดยมีเบอร์หนึ่งขุนคลังอย่าง คุณพิชัย ชุณหวชิร รับผิดชอบ

โดยในเบื้องต้นจะประชุมสรุปกับคณะกรรมการและทุกหน่วยงานอีกครั้งในวันที่ 8 เม.ย.2568 และในสัปดาห์หน้า คุณพิชัย จะเดินทางไปสหรัฐฯเจรจาด้วยตนเอง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้สรุปข้อเสนอเชิงนโยบายต่าง ๆ เช่น การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในด้านพลังงาน อากาศยาน และ สินค้าเกษตร โดยประเทศไทยมีแผนจะสร้างความร่วมมือกับภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป

ในขณะที่ “เวียดนาม” ถึงแม้ว่าจะยอมลดภาษีนำเข้าให้สหรัฐฯเหลือ 0 ก็ไม่ได้สร้างความพึงพอใจ และถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสิ่งที่สหรัฐฯต้องการ ทำให้สหรัฐฯยังคงเดินหน้าเก็บภาษีเวียดนามต่อไปที่ 46% ต้องมาวางแผนกันใหม่ เป็นสัญญานที่บอกว่าการรับมือกับมาตรการนี้ ภายใต้เงื่อนไขการเจรจากับสหรัฐอเมริกา "ไม่ใช่เรื่องง่าย"

สงครามการค้า สงครามภาษีได้เริ่มขึ้นแล้ว และตัวเลขภาษีที่สหรัฐฯเรียกเก็บก็ออกมาสูงเกินคาด ผลกระทบที่ตามมาก็อาจจะรุนแรงกว่าที่คิดไว้ มาตรการรับมือ การเจรจาก็อาจจะต้องเร่งมือ และเข้มข้นมากกว่าที่เตรียมไว้ และที่สำคัญนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เขย่าโลก ระหว่างทาง จนถึงปลายทางสมัยประธานาธิบดีของเค้า ยังคงเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่จะสร้างผลกระทบไปทั่วโลกอย่างแน่นอน

ที่มาข้อมูล : ข่าวต่างประเทศ, KKP Research

ที่มารูปภาพ : TNN