"กัมพูชา"อ้าแขนรับ"จีน"ลงทุนพันล้านเหรียญ ปัดเลือกข้าง "สงครามการค้า"

กัมพูชา และจีน ความสัมพันธ์หวานชื่นและรื่นรมย์

หลังจากที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีนได้เดินทางมาเยือนประเทศอย่างเป็นทางการ

เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา พร้อมจับมือประกาศเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการทางเศรษฐกิจอีกมากมาย 

จนทำให้เกิดกระแสว่า "กัมพูชา" ได้เลือกข้างแล้วในสงครามการค้าครั้งนี้

แต่ล่าสุดนายกฯกัมพูชาก็ออกมาตอบโต้เรื่องนี้แล้ว ย้ำชัดเจนว่าประเทศยังเป็นกลาง


นายกรัฐมนตรีฮุน มาแนต ของกัมพูชา ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของกลุ่มต่อต้านในต่างประเทศ

ที่อ้างว่ากัมพูชากำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจีนและกำลังแยกตัวออกจากสหรัฐฯ 

พร้อมกับเน้นย้ำว่า กัมพูชาดำเนินนโยบายต่างประเทศเป็นกลาง รักษาความสัมพันธ์กับทุกประเทศ 

และเลือกความร่วมมือไม่ใช่การเผชิญหน้า


ทั้งนี้ถ้อยแถลงดังกล่าวนี้ของนายกฯ กัมพูชามีขึ้นในระหว่างพิธีเปิดท่าเรือท่องเที่ยวนานาชาติกัมปอต

เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา โดยชี้ให้เห็นว่านักวิเคราะห์ต่างชาตินั้นมีการตีความผิด

เกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วมระหว่างกัมพูชาและจีนที่ออกมาก่อนหน้านี้

ระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อวันที่ 17-18 เมษายน 2568

 นายกรัฐมนตรีของกัมพูชากล่าวว่าไม่มีหลักฐานใดที่ระบุว่ากัมพูชายอมให้จีนควบคุมประเทศ

เพราะในเมื่อเนื้อหาของแถลงการณ์ระบุอย่างชัดเจนว่าจีนเคารพอธิปไตยและเอกราชของกัมพูชา


โดยระหว่างการเยือนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง  ทั้งสองชาติได้มีการลงนามข้อตกลงถึง 37 ฉบับ

ครอบคลุมการ่วมมือในหลายภาคส่วน เช่น การค้า การศึกษา การเงิน และการท่องเที่ยว 

โดยจีนยังแสดงการสนับสนุนโครงการ"คลองฟูนันเตโช" 

ซึ่งบริษัทไชน่า คอมมิวนิเคชั่นส์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (China Communications Construction Company หรือ CCCC) 

ได้ลงนามข้อตกลงการลงทุนในรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) มูลค่า 1.156 พันล้านดอลลาร์

สรุปข่าว

"กัมพูชา" และ "จีน" เป็นความสัมพันธ์แบบไหน ? หลังจากที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีนได้เดินทางมาเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในภารกิจเยือน 3 ชาติอาเซียน ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์ เป็นบรรยากาศสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่กำลังเพิ่งเริ่มต้นและร้อนแรง และนอกจากการกระชับความสัมพันธ์อันดี ทั้งสองชาติยังได้จับมือประกาศเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการทางเศรษฐกิจอีกมากมาย ผ่านการลงนามความร่วมมือถึง 37 ฉบับที่ครอบคลุมทุกด้าน และหลังจากนั้นจึงเกิดกระแสการตีความว่า "กัมพูชา" ได้เลือกข้างแล้วในสงครามการค้าครั้งนี้ แต่ล่าสุดนายกฯกัมพูชาก็ออกมาตอบโต้เรื่องนี้แล้ว พร้อมย้ำชัดเจนว่าประเทศยังเป็นกลาง เป็นมิตรกับทุกฝ่าย ไม่มีประเทศใดเป็นศัตรู

กัมพูชา และจีน ความสัมพันธ์หวานชื่นและรื่นรมย์

หลังจากที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำของจีนได้เดินทางมาเยือนประเทศอย่างเป็นทางการ

เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา พร้อมจับมือประกาศเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการทางเศรษฐกิจอีกมากมาย 

จนทำให้เกิดกระแสว่า "กัมพูชา" ได้เลือกข้างแล้วในสงครามการค้าครั้งนี้

แต่ล่าสุดนายกฯกัมพูชาก็ออกมาตอบโต้เรื่องนี้แล้ว ย้ำชัดเจนว่าประเทศยังเป็นกลาง


นายกรัฐมนตรีฮุน มาแนต ของกัมพูชา ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของกลุ่มต่อต้านในต่างประเทศ

ที่อ้างว่ากัมพูชากำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจีนและกำลังแยกตัวออกจากสหรัฐฯ 

พร้อมกับเน้นย้ำว่า กัมพูชาดำเนินนโยบายต่างประเทศเป็นกลาง รักษาความสัมพันธ์กับทุกประเทศ 

และเลือกความร่วมมือไม่ใช่การเผชิญหน้า


ทั้งนี้ถ้อยแถลงดังกล่าวนี้ของนายกฯ กัมพูชามีขึ้นในระหว่างพิธีเปิดท่าเรือท่องเที่ยวนานาชาติกัมปอต

เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา โดยชี้ให้เห็นว่านักวิเคราะห์ต่างชาตินั้นมีการตีความผิด

เกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วมระหว่างกัมพูชาและจีนที่ออกมาก่อนหน้านี้

ระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อวันที่ 17-18 เมษายน 2568

 นายกรัฐมนตรีของกัมพูชากล่าวว่าไม่มีหลักฐานใดที่ระบุว่ากัมพูชายอมให้จีนควบคุมประเทศ

เพราะในเมื่อเนื้อหาของแถลงการณ์ระบุอย่างชัดเจนว่าจีนเคารพอธิปไตยและเอกราชของกัมพูชา


โดยระหว่างการเยือนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง  ทั้งสองชาติได้มีการลงนามข้อตกลงถึง 37 ฉบับ

ครอบคลุมการ่วมมือในหลายภาคส่วน เช่น การค้า การศึกษา การเงิน และการท่องเที่ยว 

โดยจีนยังแสดงการสนับสนุนโครงการ"คลองฟูนันเตโช" 

ซึ่งบริษัทไชน่า คอมมิวนิเคชั่นส์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (China Communications Construction Company หรือ CCCC) 

ได้ลงนามข้อตกลงการลงทุนในรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) มูลค่า 1.156 พันล้านดอลลาร์

กัมพูชา ประกาศย้ำชัดจุดยืน 

คือ  เป็นมิตรกับทุกประเทศ ไม่มีประเทศใดเป็นศัตรู

แต่แน่นอนว่าเมื่อเห็นว่ามีการลงทุนจากลงทุนจากจีน

มีเงินมหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ถูกจับจ้องเป็นพิเศษ

มีการกล่าวอ้างว่าการลงทุนของจีนในกัมพูชา ทำให้สูญเสียเอกราชและอธิปไตย

ซึ่งนายกฯฮุน มาแนต ก็ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวอ้างที่ว่านี้แล้ว 

โดยชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมาบริษัทของจีนได้ดำเนินธุรกิจในหลายประเทศ 

รวมถึงประเทศในอาเซียน และแม้แต่สหรัฐอเมริกา 

พร้อมตอบโต้คำวิจารณ์ที่หาว่ากัมพูชาพึ่งพาการลงทุนจากจีนมากเกินไป 

โดยอ้างอิงจากตัวเลขการลงทุนของจีนในปี 2566 ว่า จีนลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ 

และลงทุนในอาเซียนมูลค่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ 

ซึ่งสิงคโปร์เป็นประเทศที่ได้รับการลงทุนจากจีนมากที่สุดในภูมิภาคนี้ 

คิดเป็น 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ 

ขณะที่กัมพูชาอยู่อันดับที่ 8 เท่านั้น ด้วยมูลค่าเพียง 300 ล้านดอลลาร์


ฮุน มาแนต ยังเน้นย้ำด้วยว่า กัมพูชาไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

 แต่เลือกที่จะร่วมมือกับทั้งสองฝ่าย ทั้งจีน และสหรัฐ เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

โดยระบุว่า กัมพูชาเลือกทั้งสองประเทศเพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะแข็งแรง นี่คือทางเลือกของรัฐบาล 

และกัมพูชามีเอกราชและอำนาจอธิปไตยในการตัดสินใจของตนเอง ไม่มีใครกดดันเราได้

และบอกย้ำอีกว่า "เราเป็นมิตรกับทุกประเทศ ไม่มีประเทศใดเป็นศัตรู” 

ขณะเดียวกัน กัมพูชาจะทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางเจรจาประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ 

ภายในช่วงเวลาของการระงับผ่อนผันชั่วคราว 90 วันนี้ เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศทั่วโลก  

แต่ที่หนักกว่าชาติอื่นๆ ก็คือ กัมพูชาถูกสหรัฐฯรีดภาษีหนักที่สุดในอาเซียน คือ มากถึงอัตรา 49% 

ดยหนึ่งวันก่อนที่ประธานาธิบดีสีจะเดินทางเยือนกรุงพนมเปญ 

เจ้าหน้าที่กัมพูชาได้จัดการประชุมทางไกลกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ 

เพื่อหารือแนวทางในการปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการค้า 

หลังจากที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาแนต ส่งหนังสือถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 

โดยทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นว่าจะรักษาการเจรจาอย่างเปิดเผยและดำเนินการเจรจาต่อไป


ย้อนกลับไปในการเดินทางเยือนอาเซียนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจากจีน

กัมพูชาเป็นชาติสุดท้ายในสามประเทศ และฉลองความสัมพันธ์ 67 ปี 

ซึ่งปัจจุบันนี้จีนอยู่ในฐานะผู้ลงทุนรายใหญ่สุดของประเทศ

แบะเป็นเจ้าหนี้มูลค่ากว่า  4 พันล้านดอลลาร์ด้วย 

สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เดินทางเยือนกัมพูชา เพื่อกระชับสัมพันธ์พันธมิตรแน่นแฟ้น 

ส่งท้ายภารกิจเดินทางไปยังสามประเทศในอาเซียน ต่อจากเวียดนาม และมาเลเซีย

ท่ามกลางบรรยากาศการต้อนรับที่อบอุ่น พร้อมกับแลกเปลี่ยนข้อตกลงร่วมกัน 37 ฉบับ

แต่ในขณะเดียวกันช่วงเวลาดังกล่าวที่ผ่านมา คือจังหวะที่สงครามการค้าโลกกำลังร้อนระอุ

หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐ ได้เดินหน้านโยบายการค้าเชิงรุก หวังกลับมาเป็นชาติแห่งความร่ำรวยอีกครั้ง

ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าไปยังชาติต่างๆทั่วโลก พื้นฐาน 10  % 

และเจาะรายประเทศที่ขาดดุลการค้า ด้วยภาษีตอบโต้ที่สาหัส ในอัตราสูงเป็นประวัติศาสตร์ 

โดยเฉพาะที่โดนหนักสุดกว่า 145 % เป็นอย่างน้อย 

และอาเซียนก็เป็นกลุ่มที่ถูกรีดภาษีรองรองมา ซึ่งหนักที่สุดในกลุ่มเศรษฐกิจทั่วโลก 

และส่วนหนึ่งคือการเอาคืนในฐานะที่อาเซียนก็คือฐานการผลิตสำคัญของจีนที่ส่งสินค้าเข้าไปยังสหรัฐ

ที่ถูกย้ายหนีออกมาจากจีนในช่วงสมัยทรัมป์เป็นประธานาธิบดียุคแรก หรือ ทรัมป์ 1.0  


ระหว่างการเยือนครั้งนี้ผู้นำจีนยังได้พบหารือกับคนสำคัญของกัมพูชา 

ทั้งสมเด็จฮุน เซน ประธานสภาสูงกัมพูชา และฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา

ด้านนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเผยว่า ทั้งสองประเทศได้แลกเปลี่ยนข้อตกลง 37 ฉบับในหลากหลายด้าน 

ครอบคลุมถึงทรัพยากรน้ำและเกษตรกรรม และระบุถึงการเยือนของผู้นำจีนครั้งนี้ว่าเป็นการแสดงมิตรภาพที่แน่นแฟ้น 

และทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกันบนพื้นฐานของหลักการเคารพในอำนาจอธิปไตย ความเท่าเทียม 

และการไม่แทรกแซงกิจการภายใน นอกจากนี้ยังระบุว่าจีนมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกัมพูชา


ขณะที่ผู้นำจีน ระบุว่า จีนจะเปิดตลาดขนาดใหญ่ให้กับกัมพูชา 

และนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรคุณภาพสูงจากกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ย้อนกลับไปการเดินทางเยือนกัมพูชาของผู้นำจีนครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 

และยังเกิดขึ้นในขณะที่จีนและกัมพูชาฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 67 ปีในปีนี้ 

ซึ่งปัจจุบันนี้จีนถือเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดของกัมพูชา 

คือคิดแล้วเกือบครึ่งหนึ่งของการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมดเมื่อปี 2024 

ด้วยมูลค่าเกือบ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

และนอกจากนี้ จีนยังเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาซึ่งมีมูลค่าหนี้สูงกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย



ขณะที่สื่อกัมพูชารายงานก่อนหน้าการมาเยือนของผู้นำจีนครั้งนี้ว่า 

ผู้นำจีนได้เรียกร้องให้กัมพูชาต่อต้านลัทธิการใช้อำนาจครอบงำและการกีดกันทางการค้า 

และระบุว่าจีนสนับสนุนให้กัมพูชาเลือกเส้นทางการพัฒนาที่เหมาะสม 

พร้อมปกป้องอำนาจอธิปไตย เอกราช และบูรณภาพแห่งดินแดนของตนเองด้วย


นอกจากนี้ผู้นำจีนยังเรียกร้องให้กัมพูชาปราบปรามอาชญากรรมต่างๆ 

เช่น การฉ้อโกงออนไลน์ ซึ่งก่อนหน้านี้กัมพูชาได้ส่งตัวอาชญากรชาวจีนจำนวนหนึ่ง 

รวมถึงพลเมืองไต้หวันกลับไปยังจีน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้ไต้หวันอย่างมาก


ล่าสุดจีนได้ออกมาเตือนว่า 

ชาติใดก็ตามที่ร่วมมือกับสหรัฐแล้วย้อนกลับมากระทบไปทำลายจีน

ก็จะต้องถูกตอบโต้อย่างเด็ดขาดและเท่าเทียม 

หลังจากมีกระแสข่าวว่าทางการสหรัฐได้พยายามกดดันให้ประเทศคู่ค้าลดความสัมพันธ์กับจีน

โดยใช้ภาษีนำเข้าและข้อตกลงต่างๆ เป็นตัวต่อรอง 

ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า ตอนนี้โลกกำลังถูกบีบให้เลือกข้างหรือไม่ 

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : TNN