
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 นีโอ คอร์ปอเรท วางแผนที่จะเดินหน้าขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยได้ดำเนินการลงทุนเพื่อขยายโรงงานและการผลิตแบบแบ่งเป็นเฟส สอดคล้องกับแผนการเติบโตที่วางไว้ เพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงและลดภาระทางการเงินจากการลงทุนขนาดใหญ่ในคราวเดียว
โดยจัดสรรค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ในปี 2568 ไว้ที่ 2,300-2,500 ล้านบาท ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารและโรงงานสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ซึ่งแล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 เตรียมเปิดใช้งานเต็มรูปแบบภายในปีนี้ และการก่อสร้างโรงงานสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน เฟสหนึ่ง ซึ่งเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2569 ตามด้วยเฟสสองที่จะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2571
ขณะเดียวกัน บริษัทยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง e-commerce ซึ่งมีการเติบโตถึง 33% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรงและตอบสนองต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเพิ่มจำนวน live streaming และการส่งเสริม Affiliate Marketing เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงเพื่อตอบสนองต่อสภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น เช่น Fineline น้ำยาซักผ้า ขนาด 140 มล. และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ขนาด 150 มล. ซองเล็กราคาเริ่มต้น 20 บาท ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น
สรุปข่าว
นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 นีโอ คอร์ปอเรท วางแผนที่จะเดินหน้าขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยได้ดำเนินการลงทุนเพื่อขยายโรงงานและการผลิตแบบแบ่งเป็นเฟส สอดคล้องกับแผนการเติบโตที่วางไว้ เพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงและลดภาระทางการเงินจากการลงทุนขนาดใหญ่ในคราวเดียว
โดยจัดสรรค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ในปี 2568 ไว้ที่ 2,300-2,500 ล้านบาท ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารและโรงงานสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ซึ่งแล้วเสร็จไปเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 เตรียมเปิดใช้งานเต็มรูปแบบภายในปีนี้ และการก่อสร้างโรงงานสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน เฟสหนึ่ง ซึ่งเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2569 ตามด้วยเฟสสองที่จะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2571
ขณะเดียวกัน บริษัทยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านช่องทาง e-commerce ซึ่งมีการเติบโตถึง 33% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรงและตอบสนองต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเพิ่มจำนวน live streaming และการส่งเสริม Affiliate Marketing เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงเพื่อตอบสนองต่อสภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น เช่น Fineline น้ำยาซักผ้า ขนาด 140 มล. และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ขนาด 150 มล. ซองเล็กราคาเริ่มต้น 20 บาท ช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น
สำหรับไตรมาส 1/2568 บริษัทยังรักษาการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้สภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยก็ตาม โดยยอดขายในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักเติบโตได้ดีจากปีก่อนหน้า ซึ่งประเมินแล้วว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด FMCG เป็นผลมาจากการที่เราดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลักดันสินค้าพรีเมียมแมสที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ประกอบกับกลยุทธ์ Segment Creator ที่เป็นการสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาสร้างสีสันและเติมเต็มช่องว่างความต้องการในตลาดอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ยอดขายจากต่างประเทศเองก็เริ่มฟื้นตัวจากการปรับปรุงและขยายช่องทางการขายตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา ทั้งหมดนี้ช่วยให้เราสามารถสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ความท้าทายสำคัญในช่วงต้นปีคือราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้นตามต้องความการของตลาดในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราได้ดำเนินการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้า และบริหารวัตถุดิบอย่างรอบคอบ รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายในทุกส่วน ส่งผลให้ต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ไม่สูงเท่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ อีกทั้งยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในกรอบ 41-43% และอัตรากำไรสุทธิในกรอบ 8-10% ได้อย่างมั่นคง
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 บริษัทมียอดขายรวมเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ซึ่งเติบโตจากปีก่อนหน้า 6.0% 5.7% และ 2.1% ตามลำดับ
การเติบโตของยอดขายส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้า และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มภายใต้แบรนด์ Fineline ผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ และครีมบำรุงผิว ภายใต้แบรนด์ BeNice ซึ่งนับเป็นความสำเร็จจากการเปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวภายใต้แบรนด์ BeNice ตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 เป็นต้นมา
ในขณะที่ D-nee มีการเติบโตในทิศทางที่ดี ส่วนหนึ่งจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ D-nee deluxe ตามกลยุทธ์ Segment Creator เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ นอกจากนี้ ยอดขายสินค้าพรีเมียมแมสเติบโตถึง 34% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วน 5% ของยอดขายรวม
ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลักดันสินค้าพรีเมียมสำหรับกลุ่ม Silver Age ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ในขณะเดียวกัน ยอดขายจากต่างประเทศสามารถฟื้นตัวเติบโต 10.3% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากการขยายแบรนด์สินค้า และเพิ่ม SKU ใหม่ๆ เข้าไปในประเทศส่งออกหลัก รวมทั้งปรับปรุงและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพและครอบคุลมพื้นที่มากขึ้น
อีกหนึ่งก้าวสำคัญของนีโอ คอร์ปอเรท ในต้นเดือนที่ผ่านมาคือการเปิดตัวแบรนด์ "LovliTails" ซึ่งถือเป็นแบรนด์ใหม่ของบริษัทในรอบ 15 ปี และการขยายพอร์ตโฟลิโอสู่ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงเป็นครั้งแรก โดยมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ ซึ่งกลยุทธ์การตลาดจะให้ความสำคัญกับการสื่อสารผ่าน Influencer และ KOL ซึ่งเป็นผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวจริงที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างแบรนด์ให้เป็นผู้นำในตลาดพรีเมียม และพรีเมียมแมส ภายใน 3 ปี
ที่มาข้อมูล : บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO
ที่มารูปภาพ : TNN Wealth
