"เฟซบุ๊ก-ไอจี" จะไปทางไหน? สงครามการค้าเสี่ยงรายได้วูบหมื่นล้าน

"สงครามการค้า" ทำพิษ ?  อาจจะลุกลามบานปลายกระทบมาถึง "Facebook และ IG" ได้เช่นกัน

แม้คนจีนจะไม่ได้เล่นเแอปเหล่านี้ แต่ก็มีธุรกิจของจีนที่ลงโฆษณาไม่น้อย

สูงเป็นอันดับ 2 ของรายได้ของเมตา เจ้าของ 2 แพลตฟอร์มดังดังกล่าว

ดังนั้นล่าสุดมีการคาดการณ์ว่าการขึ้นภาษีของทรัมป์

อาจจะกระทบต่อรายได้ของเมตา ของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก 

กว่า  2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ 


สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจของโลก ระหว่างสหรัฐฯและจีน

มีผลกระทบไปถึงทุกภาคอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

แม้กระทั่งโซเชียลมีเดียยอดนิยมที่คนไทยก็ใช้งานกันเป็นประจำ อย่าง Facebook  และ Instagram

ซึ่งมีบริษัทแม่ คือ บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก 


อ้างอิงเรื่องนี้จากรายงานของสำนักข่าวซีเอ็นบีซี  (CNBC) 

ที่ระบุว่า "เมตา" (Meta) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา มีรายได้หลักมาจากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ 

อาจต้องสูญเสียรายได้มากถึง 23,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ 

เนื่องจากนโยบายภาษีศุลกากรที่เข้มงวดของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” 

ซึ่งส่งผลกระทบไปถึงอีคอมเมิร์ซต่างๆ ที่นำเข้าสินค้าจากประเทศจีน


รายงานวิจัยของบริษัท MoffettNathanson ได้วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

จากการที่ร้านค้าปลีกที่มีความเกี่ยวข้องกับจีน เช่น Temu และ Shein 

ได้ลดงบประมาณการโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram 

ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน


นักวิเคราะห์จาก "MoffettNathanson" ได้อ้างถึงรายงานประจำปีล่าสุดของบริษัท Meta 

ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารายได้ในประเทศจีนสูงถึง 18,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว 2024 

คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 11% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท 

โดยส่วนใหญ่มาจากTemu และ Shein 

และหากผู้ค้าปลีกออนไลน์เหล่านี้ลดการโฆษณาในปีนี้ ยอดขายโฆษณาของ Meta ในปีนี้ 2025 

อาจลดลงถึง 7 พันล้านดอลลาร์ 


ขณะนี้ Temu เริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวแล้ว โดยบริษัทได้ลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาในสหรัฐลง

นอกจากนี้ อันดับของแอปพลิเคชัน Temu ใน App Store ของ Apple ก็ลดลงอย่างมาก 

ภายหลังจากที่ทรัมป์ได้ประกาศมาตรการภาษีกับสินค้าจากประเทศจีน


นับได้ว่าประเทศจีน คือแหล่งรายได้อันดับ 2 ของ Meta

แม้ว่า Meta จะไม่ได้แจงรายละเอียดของรายได้ในแต่ละประเทศ 

แต่มีการคาดการณ์ว่า “จีน” เป็นแหล่งรายได้ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ Meta รองจากสหรัฐฯ

ซึ่งถือเป็นสถานะที่น่าแปลกใจ สำหรับประเทศที่ Meta ไม่มีผู้ใช้งานโดยตรง 

หรือไม่มีแพลตฟอร์มที่เปิดให้บริการอยู่เลย


นักวิเคราะห์ และผู้บริหารด้านการเงินของหลายบริษัทได้คาดการณ์ว่า 

ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน อาจทำให้รายได้จากการโฆษณาของ Meta ในปีนี้ 2025 

หายไปถึง 23,000 ล้านดอลลาร์ และทำให้ประมาณการรายได้ในปีนี้ ลดลงถึง 25%


นอกจากนี้ Meta จะต้องเผชิญกับอุปสรรคสองประการ 

คือ ภาวะอ่อนแอของการโฆษณาตามวัฏจักรเศรษฐกิจ 

และการลดลงของค่าใช้จ่ายด้านการโฆษณาในจีน


อย่างไรตามผลกระทบอาจจะยังเดินทางมาไม่ถึงในตอนนี้ 

เพราะไตรมาสแรกที่ผ่านมา "เมตา" กลับทำรายได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 

รายได้โฆษณายังแข็งแกร่ง 

สรุปข่าว

นโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในสงครามการค้ากับจีนอาจทำให้ Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram สูญเสียรายได้กว่า 23,000 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากผู้โฆษณาจีนรายใหญ่ เช่น Temu และ Shein เริ่มลดงบโฆษณาบนแพลตฟอร์ม แม้จีนจะไม่ใช่ตลาดผู้ใช้งานโดยตรง แต่กลับเป็นแหล่งรายได้อันดับ 2 ของ Meta จากการโฆษณา ขณะที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เดินหน้าลงทุนด้าน AI และดาต้าเซ็นเตอร์อย่างมหาศาล เพื่อปรับตัวรับมือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง พร้อมเปลี่ยนโฉมระบบโฆษณาทั้งระบบด้วยเทคโนโลยี AI.

"สงครามการค้า" ทำพิษ ?  อาจจะลุกลามบานปลายกระทบมาถึง "Facebook และ IG" ได้เช่นกัน

แม้คนจีนจะไม่ได้เล่นเแอปเหล่านี้ แต่ก็มีธุรกิจของจีนที่ลงโฆษณาไม่น้อย

สูงเป็นอันดับ 2 ของรายได้ของเมตา เจ้าของ 2 แพลตฟอร์มดังดังกล่าว

ดังนั้นล่าสุดมีการคาดการณ์ว่าการขึ้นภาษีของทรัมป์

อาจจะกระทบต่อรายได้ของเมตา ของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก 

กว่า  2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ 


สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจของโลก ระหว่างสหรัฐฯและจีน

มีผลกระทบไปถึงทุกภาคอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

แม้กระทั่งโซเชียลมีเดียยอดนิยมที่คนไทยก็ใช้งานกันเป็นประจำ อย่าง Facebook  และ Instagram

ซึ่งมีบริษัทแม่ คือ บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก 


อ้างอิงเรื่องนี้จากรายงานของสำนักข่าวซีเอ็นบีซี  (CNBC) 

ที่ระบุว่า "เมตา" (Meta) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา มีรายได้หลักมาจากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ 

อาจต้องสูญเสียรายได้มากถึง 23,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ 

เนื่องจากนโยบายภาษีศุลกากรที่เข้มงวดของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” 

ซึ่งส่งผลกระทบไปถึงอีคอมเมิร์ซต่างๆ ที่นำเข้าสินค้าจากประเทศจีน


รายงานวิจัยของบริษัท MoffettNathanson ได้วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

จากการที่ร้านค้าปลีกที่มีความเกี่ยวข้องกับจีน เช่น Temu และ Shein 

ได้ลดงบประมาณการโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram 

ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีน


นักวิเคราะห์จาก "MoffettNathanson" ได้อ้างถึงรายงานประจำปีล่าสุดของบริษัท Meta 

ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารายได้ในประเทศจีนสูงถึง 18,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว 2024 

คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 11% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท 

โดยส่วนใหญ่มาจากTemu และ Shein 

และหากผู้ค้าปลีกออนไลน์เหล่านี้ลดการโฆษณาในปีนี้ ยอดขายโฆษณาของ Meta ในปีนี้ 2025 

อาจลดลงถึง 7 พันล้านดอลลาร์ 


ขณะนี้ Temu เริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวแล้ว โดยบริษัทได้ลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาในสหรัฐลง

นอกจากนี้ อันดับของแอปพลิเคชัน Temu ใน App Store ของ Apple ก็ลดลงอย่างมาก 

ภายหลังจากที่ทรัมป์ได้ประกาศมาตรการภาษีกับสินค้าจากประเทศจีน


นับได้ว่าประเทศจีน คือแหล่งรายได้อันดับ 2 ของ Meta

แม้ว่า Meta จะไม่ได้แจงรายละเอียดของรายได้ในแต่ละประเทศ 

แต่มีการคาดการณ์ว่า “จีน” เป็นแหล่งรายได้ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ Meta รองจากสหรัฐฯ

ซึ่งถือเป็นสถานะที่น่าแปลกใจ สำหรับประเทศที่ Meta ไม่มีผู้ใช้งานโดยตรง 

หรือไม่มีแพลตฟอร์มที่เปิดให้บริการอยู่เลย


นักวิเคราะห์ และผู้บริหารด้านการเงินของหลายบริษัทได้คาดการณ์ว่า 

ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน อาจทำให้รายได้จากการโฆษณาของ Meta ในปีนี้ 2025 

หายไปถึง 23,000 ล้านดอลลาร์ และทำให้ประมาณการรายได้ในปีนี้ ลดลงถึง 25%


นอกจากนี้ Meta จะต้องเผชิญกับอุปสรรคสองประการ 

คือ ภาวะอ่อนแอของการโฆษณาตามวัฏจักรเศรษฐกิจ 

และการลดลงของค่าใช้จ่ายด้านการโฆษณาในจีน


อย่างไรตามผลกระทบอาจจะยังเดินทางมาไม่ถึงในตอนนี้ 

เพราะไตรมาสแรกที่ผ่านมา "เมตา" กลับทำรายได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 

รายได้โฆษณายังแข็งแกร่ง 

บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms)

รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ทำรายได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ 

สะท้อนรายได้จากการโฆษณาที่ยังขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง 

แม้นักลงทุนจะมีความกังวลก่อนหน้านี้ว่าอาจจะถูกกระทบจากนโยบายภาษีของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตาม  


Meta มีรายได้ในไตรมาส 1 ที่ 4.231 หมื่นล้านดอลลาร์ 

สูงกว่าการคาดการณ์โดยเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ที่ 4.140 หมื่นล้านดอลลาร์

 จากข้อมูลที่รวบรวมโดย LSEG ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 6.43 ดอลลาร์/หุ้น 

สูงกว่าคาดการณ์เฉลี่ยที่ 5.28 ดอลลาร์/หุ้น 


บริษัทคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 2 ที่ระหว่าง 4.25 - 4.55 หมื่นล้านดอลลาร์ 

ซึ่งอยู่ภายในเกณฑ์ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เฉลี่ยเอาไว้ที่ 4.401 หมื่นล้านดอลลาร์


อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ยังต้องจับตาทิศทางรายได้จากโฆษณาของเมตา

เพราะชัดเจนว่าการซื้อจากจีนเริ่มลดลงแล้ว


"มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" (Mark Zuckerberg) ซีอีโอ Meta กล่าวกับนักวิเคราะห์ในการรายงานผลประกอบการว่า 

ประเด็นสำคัญที่เป็นข้อกังวล คือ การติดตามผลกระทบการใช้จ่ายในระดับมหภาคทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ 

โดยยอมรับว่าบริษัทเห็นการลดงบโฆษณาในสหรัฐฯ จากผู้ส่งออกอีคอมเมิร์ซในเอเชีย 

โดยเฉพาะจีน หลังจากการลงนามยกเลิกช่องโหว่ภาษี de minimis ของสหรัฐฯ 

สำหรับการนำเข้าสินค้าจากจีนซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกออนไลน์ใหญ่

อย่าง Temu และ Shein ซึ่งทั้งสองเป็นผู้ลงโฆษณารายใหญ่บน Facebook และ Instagram


Meta เผยว่ายอดโฆษณาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอยู่ที่ 8.22 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก

ซึ่งต่ำกว่าเล็กน้อยจากที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ที่ 8.42 พันล้านดอลลาร์


ซูซาน หลี่ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของ Meta กล่าวว่า

 ส่วนหนึ่งของการใช้จ่าย(โฆษณา)นั้นถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังตลาดอื่น 

แต่การใช้จ่ายโดยรวมสำหรับการลงโฆษณาเหล่านั้นก็ยังอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนเดือนเมษายน

พร้อมระบุว่าตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะรู้ว่าหลายๆ อย่างไรจะเป็นอย่างไรในไตรมาสนี้ 

และแน่นอนว่ายากที่จะทราบได้สำหรับช่วงที่เหลือของปีด้วย


อย่างไรก็ดี รายได้ที่ขยายตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ในไตรมาสแรก

ก็สะท้อนถึงเม็ดเงินโฆษณาในภาพรวมของ Meta ที่ยังไปได้ดี 

โดยรายได้จากโฆษณานั้นคิดเป็นสัดส่วนมากถึงราว 98% ของรายได้บริษัท 


แม้จะเจอกับความท้าทายหลายด้าน

แต่เมตา ก็ยังสู้ โดยเฉพาะการเดินหน้าลงทุนด้านเอไอ 

และ Data Center ด้วยงบมหาศาลกว่า 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

สู่การเป็นแพลตฟอร์มเอไอเต็มรูปแบบ


Meta ยังเพิ่มแผนรายจ่ายการลงทุนปี 2568 อยู่ที่ระหว่าง 6.4 - 7.2 หมื่นล้านดอลลาร์ 

หรือสูงกว่าที่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเคยระบุก่อนหน้านี้

ว่าจะลงทุนสูงสุดถึง 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ 

โดยทีมผู้บริหารระบุว่าการลงทุนส่วนใหญ่จะมุ่งสนับสนุนธุรกิจหลัก 

เช่น การจัดหาพลังการประมวลผลสำหรับโฆษณา มากกว่าการพัฒนา Generative AI 


อย่างไรก็ตาม "ซูซาน หลี่" (Susan Li)   ซีเอฟโอ ของเมตา กล่าวว่า การคาดการณ์ (การลงทุน) 

ที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นการตัดสินใจที่จะขยายพื้นที่ของดาต้าเซ็นเตอร์ให้พร้อมมากขึ้น

ด้วยเพื่อรองรับความพยายามด้าน AI 

รวมถึงรับมือค่าใช้จ่ายด้านการส่งออกฮาร์ดแวร์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากผลพวงมาตรการภาษีศุลกากร 


คำกล่าวของซีเอฟโอบริษัทในครั้งนี้ช่วยบรรเทาความกังวลของหลายฝ่ายที่เกรงว่า 

กระแสความสนใจต่อ AI เริ่มชะลอตัวลง หลังจากที่ในเดือนมีนาคม 

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายพบสัญญาณเริ่มต้นที่บริษัทบิ๊กเทคบางราย

เริ่มชะลอการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ๆ จากที่เคยประกาศไปก่อนหน้านี้ 


โดยเมตาได้แสดงจุดมุ่งหมายชัดเจนว่า 

เอไอคือปัจจุบันและอนาคตของเมตา รวมไปถึงการล้างระบบโฆษณาแบบเดิมๆ 


ซูซาน หลี่ ได้เปิดเผยว่า Meta กำลังเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนมากมายในระดับมหภาค 

โดยเฉพาะการปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานของบริษัท เพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น 

โดยเฉพาะรายได้หลักอย่างธุรกิจโฆษณาของบริษัท


โดยก่อนหน้านี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta เคยออกมาเปิดเผยแผนการ

 “Infinite Creative” ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการล้างบางอุตสาหกรรมโฆษณาทั้งระบบ 

ตั้งแต่การสร้างสรรค์คอนเทนต์จนถึงการวัดผล โดยใช้เอไอเป็นเครื่องมือสำคัญ


โดยเขากล่าวว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่ Meta ทำมา

เพราะมาช่วยปรับปรุงการกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น

ทำให้บริษัทมุ่งเน้นที่การใช้ AI เพื่อปรับปรุงธุรกิจโฆษณา 

เพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ขยายบริการส่งข้อความสำหรับธุรกิจ และพัฒนาอุปกรณ์ AI

เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม

ในอนาคตลูกค้าอาจจะแค่บอกว่าอยากได้ลูกค้าแบบไหน 

แล้ว Meta จะใช้เอไอจัดการทุกอย่างให้เองตั้งแต่ต้นจนจบ

ทั้งการสร้างภาพและวิดีโอ เขียนข้อความโฆษณา สร้างแคมเปญโฆษณา

ไปถึงการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย 

พร้อมวัดผลและปรับปรุงโฆษณาด้วยตัวเองทั้งหมด 


ในประเทศจีนไม่มีเฟซบุคและไอจีให้เล่นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่สงครามการค้าก็ยังมีผลกระทบไปถึงได้

ในขณะที่คู่แข่งสำคัญจากจีน อย่าง"ติ๊กต็อก" TikTok  ก็ยังคงโลดแล่นในสหรัฐฯได้อยู่ 

แม้จะมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกแบน หรือขายต่อให้อเมริกา แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะจบลงเช่นไร

เช่นเดียวกับนโยบายภาษีตอนนี้ที่ก็ยังเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน

ดังนั้นภาคธุรกิจ อย่างเมตาจึงต้องพยายามหาทางเอาตัวรอด และครั้งนี้ก็คือการหวังพึ่งเอไอ

ที่มาข้อมูล : CNBC Meta

ที่มารูปภาพ : TNN Freepik