"อาหารทะเลญี่ปุ่น" จ่อส่งตรงสู่เมืองจีน อีกครั้ง!
คนจีนกำลังจะได้กินอาหารทะเลจากญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นซาซิมิ ปลาดิบ ทูน่า ปลาไหล หรือหอยเชลล์ และยังมีอาหารแปรรูปอีกมากมาย
หลังจากที่ทางการจีนจะเลิกแบนอาหารทะเลจากญี่ปุ่นแล้ว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาเปิดเผยว่า
ทางการจีนได้ตกลงที่จะเริ่มกระบวนการกลับมานำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นอีกครั้ง
หลังจากระงับไปนานถึง 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566
โดยจะยกเลิกคำสั่งห้ามนำเข้าซึ่งเคยกำหนดขึ้น
จากความกังวลใจ กรณีที่ญี่ปุ่นปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านมาบำบัดแล้ว
จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่ทะเล ซึ่งโรงไฟฟ้าดังกล่าวนั้น
เสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นเมื่อปี 2554
โดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่นและกรมศุลกากรของจีน
ได้บรรลุข้อตกลงกันในการหารือที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา
และคาดว่าจีนจะกลับมานำเข้าอาหารทะเลของญี่ปุ่นอีกครั้งในเร็วๆนี้
แหล่งข่าวคาดว่า ทางการจีนจะออกประกาศต่อสาธารณะ
เพื่อปลดล็อกการแบน หรือผ่อนคลายมาตรการห้ามนำเข้า
พร้อมเปิดให้โรงงานที่แปรรูปและถนอมอาหารทะเลต่างๆ ได้ลงทะเบียนเพื่อกลับมาส่งออกอีกครั้ง
สำนักข่าวเกียวโด ระบุว่าการปลดล็อกอาหารทะเลครั้งนี้นับเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับญี่ปุ่น
แม้จะยังไม่สามารถส่งออกครอบคลุมได้ทั้งประเทศ โดยเริ่มต้นจาก 37 จังหวัดก่อน
และยังมีการประกาศข้อจำกัดการนำเข้าอาหารจาก 10 จังหวัดของญี่ปุ่น
โดยเฉพาะจังหวัดฟุกุชิมะ ที่เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าที่เป็นปมปัญหาดังกล่าว
ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่าจะเร่งหาทางยกเลิกข้อจำกัดนี้ให้ได้ในอนาคต
ตามข้อเรียกร้องของชาวประมงและภาคธุรกิจ
ขณะที่ รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น นาย "ทาเคชิ อิวายะ" กล่าวถึงการเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ว่า
เป็น "เรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง" และแย้มว่าการเคลื่อนไหวนี้อาจเป็น "จุดเริ่มต้น"
ของความพยายามที่จะนำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาทวิภาคีอื่นๆ
ทั้งนี้ที่ผ่านมาการที่ญี่ปุ่นถูกแบนหรือถูกระงับการนำเข้าอาหารทะเลไปยังจีนนั้น
ได้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของความตึงเครียดระหว่าง 2 ชาติ
ซึ่งต่างก็เป็นเพื่อนบ้านในเอเชียด้วยกัน
นอกจากนี้ยังคงมีความเห็นไม่ตรงกันในประเด็นต่างๆ
เช่น ข้อพิพาทเรื่องอาณาเขตและกิจกรรมทางทหารของปักกิ่ง โดยเฉพาะในทะเลจีนตะวันออก
สรุปข่าว
"อาหารทะเลญี่ปุ่น" จ่อส่งตรงสู่เมืองจีน อีกครั้ง!
คนจีนกำลังจะได้กินอาหารทะเลจากญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นซาซิมิ ปลาดิบ ทูน่า ปลาไหล หรือหอยเชลล์ และยังมีอาหารแปรรูปอีกมากมาย
หลังจากที่ทางการจีนจะเลิกแบนอาหารทะเลจากญี่ปุ่นแล้ว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาเปิดเผยว่า
ทางการจีนได้ตกลงที่จะเริ่มกระบวนการกลับมานำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นอีกครั้ง
หลังจากระงับไปนานถึง 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566
โดยจะยกเลิกคำสั่งห้ามนำเข้าซึ่งเคยกำหนดขึ้น
จากความกังวลใจ กรณีที่ญี่ปุ่นปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านมาบำบัดแล้ว
จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่ทะเล ซึ่งโรงไฟฟ้าดังกล่าวนั้น
เสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นเมื่อปี 2554
โดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่นและกรมศุลกากรของจีน
ได้บรรลุข้อตกลงกันในการหารือที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา
และคาดว่าจีนจะกลับมานำเข้าอาหารทะเลของญี่ปุ่นอีกครั้งในเร็วๆนี้
แหล่งข่าวคาดว่า ทางการจีนจะออกประกาศต่อสาธารณะ
เพื่อปลดล็อกการแบน หรือผ่อนคลายมาตรการห้ามนำเข้า
พร้อมเปิดให้โรงงานที่แปรรูปและถนอมอาหารทะเลต่างๆ ได้ลงทะเบียนเพื่อกลับมาส่งออกอีกครั้ง
สำนักข่าวเกียวโด ระบุว่าการปลดล็อกอาหารทะเลครั้งนี้นับเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับญี่ปุ่น
แม้จะยังไม่สามารถส่งออกครอบคลุมได้ทั้งประเทศ โดยเริ่มต้นจาก 37 จังหวัดก่อน
และยังมีการประกาศข้อจำกัดการนำเข้าอาหารจาก 10 จังหวัดของญี่ปุ่น
โดยเฉพาะจังหวัดฟุกุชิมะ ที่เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าที่เป็นปมปัญหาดังกล่าว
ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่าจะเร่งหาทางยกเลิกข้อจำกัดนี้ให้ได้ในอนาคต
ตามข้อเรียกร้องของชาวประมงและภาคธุรกิจ
ขณะที่ รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น นาย "ทาเคชิ อิวายะ" กล่าวถึงการเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ว่า
เป็น "เรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง" และแย้มว่าการเคลื่อนไหวนี้อาจเป็น "จุดเริ่มต้น"
ของความพยายามที่จะนำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาทวิภาคีอื่นๆ
ทั้งนี้ที่ผ่านมาการที่ญี่ปุ่นถูกแบนหรือถูกระงับการนำเข้าอาหารทะเลไปยังจีนนั้น
ได้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของความตึงเครียดระหว่าง 2 ชาติ
ซึ่งต่างก็เป็นเพื่อนบ้านในเอเชียด้วยกัน
นอกจากนี้ยังคงมีความเห็นไม่ตรงกันในประเด็นต่างๆ
เช่น ข้อพิพาทเรื่องอาณาเขตและกิจกรรมทางทหารของปักกิ่ง โดยเฉพาะในทะเลจีนตะวันออก
"อาหารต้องปลอดภัย คนจีนถึงจะกินได้"
นี่คือที่สิ่งทางการจีนย้ำและก็ใช้เป็นข้ออ้างในการตั้งกำแพงสินค้า
และญี่ปุ่นก็พยายามอย่างหนักหน่วงในการฟื้นความเชื่อมั่นครั้งนี้
นับตั้งแต่ปีที่แล้วทางการญี่ปุ่นเปิดให้ทางการจีนก็ได้ลงพื้นที่สำรวจพร้อมตรวจสอบด้วยตนเอง
ว่าอาหารทะเลญี่ปุ่นมีความปลอดภัยได้มาตรฐาน
เช่น เมื่อเดือนกันยายนของปีที่แล้ว
หลังจากที่รัฐบาลทั้งสองประเทศได้ตกลงว่าจะเริ่มกลับมาดำเนินการค้าอาหารทะเลอีกครั้ง
แบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีเงื่อนไขว่าประเทศที่สามจะต้องติดตามการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
เนื่องจากทางการจีนคัดค้านการปล่อยน้ำดังกล่าวอย่างหนัก
โดยอ้างถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
และตามข้อตกลง จีนได้เก็บตัวอย่างทางทะเลใกล้กับโรงไฟฟ้าฟูกุชิมะ
ภายใต้กรอบของสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ IAEA
และไม่พบความเข้มข้นของสารกัมมันตภาพรังสีที่ผิดปกติ
ทั้งนี้ญี่ปุ่นเริ่มกระบวนการปล่อยน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดจากโรงงานฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก
ซึ่งใช้เวลานานหลายสิบปี โดย IAEA ยืนยันว่า
การปล่อยดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก
และจะมี "ผลกระทบทางรังสีต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อมเพียงเล็กน้อย"
โดยในโรงงานดังกล่าวนั้น มีน้ำกัมมันตภาพรังสีจำนวนมหาศาล
สะสมอยู่ในกระบวนการระบายความร้อนของเครื่องปฏิกรณ์
ซึ่งเชื้อเพลิงได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ
ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554
น้ำเสียจะได้รับการบำบัดเพื่อกำจัดนิวไคลด์กัมมันตรังสีส่วนใหญ่ ยกเว้นทริเทียม
ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีที่ถือว่าไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และจะถูกเจือจางก่อนปล่อยลงในทะเล
ขณะที่การตกลงกลับมานำเข้าอาหารทะเลครั้งนี้ระหว่างจีนและญี่ปุ่นนั้น
หนังสือพิมพ์นิคเคอิของญี่ปุ่นให้รายละเอียดว่า ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว
ญี่ปุ่นจะจัดตั้งศูนย์แปรรูปปลาร่วมกับทางการจีน และอาหารทะเลที่จะถูกส่งออกไปจีนนั้น
จะต้องได้รับใบอนุญาตเพื่อยืนยันว่าอาหารทะเลนั้นไม่มีสารกัมมันตรังสี เช่น ซีเซียม-137
2 ปีที่หายไป คือ 2 ปีที่สร้างความเสียหายหนักต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
เพราะจีนเป็นตลาดส่งออกอาหารทะเลอันดับหนึ่ง
ก่อนจะถูกแบนเคยส่งออกไปยังจีนได้มากกว่า 8 หมื่น 7 พันล้านเยน
หรือว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
"ลูกค้าซีฟู้ดรายใหญ่ของญี่ปุ่น คือ จีน"
จีนเป็นตลาดส่งออกอาหารทะเลอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นมาโดยตลอด
ก่อนเมื่อสามปีก่อน หรือ 2565 ญี่ปุ่นส่งออกอาหารทะเลไปยังจีน
คิดเป็นมูลค่ากว่า 87.1 พันล้านเยน หรือประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คิดแล้วเป็นสัดส่วนมากถึง 22% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลทั้งหมดของญี่ปุ่น
อาหารทะเลที่ได้รับความนิยมในจีนจากญี่ปุ่น เช่น
หอยเชลล์จากฮอกไกโด ปลาทูน่า สาหร่ายทะเล ปลาไหล และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ
การระงับนำเข้าจึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการในจังหวัดชายฝั่ง เช่น
มิยะงิ อาโอโมริ ฟุกุชิมะ และฮอกไกโด ซึ่งพึ่งพารายได้จากการส่งออกอาหารทะเลสู่ตลาดต่างประเทศ
โดยเฉพาะจีน ฮ่องกง และไต้หวัน
ภายหลังการประกาศของจีน สำนักงานสถิติของญี่ปุ่นรายงานว่า
ยอดส่งออกหอยเชลล์ลดลงกว่า 90% ภายในสองเดือน
ราคาขายส่งหอยเชลล์ในประเทศตกลงไปกว่า 30%
โรงงานแปรรูปในฮอกไกโดต้องหยุดการผลิตชั่วคราวเพราะสินค้าไม่มีที่ขาย
นอกจากนี้ ธุรกิจขนส่ง เย็นเก็บอาหาร และบรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องก็ได้รับผลกระทบตามลูกโซ่
รายได้ลดลง คนงานจำนวนมากถูกเลิกจ้างหรือให้หยุดงานชั่วคราว
นอกจากนี้ความกังวลเรื่องอาหารปลอดภัย ยังมีผลกระทบต่อความรู้สึกของคน
หรือกระทบในแง่ทางจิตวิทยา ผู้ประกอบการหลายรายกล่าวว่า
“สิ่งที่เสียหายมากที่สุดไม่ใช่แค่รายได้ แต่คือความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของอาหารทะเลญี่ปุ่น”
ที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นว่ารัฐบาลญี่ปุ่นพยายามโปรโมตอาหารทะเลอย่างหนัก
แม้กระทั่งภายในประเทศ ผ่านแคมเปญ “กินเพื่อช่วยชาวประมง”
และเร่งขยายตลาดส่งออก ไปยังสหรัฐฯ เวียดนาม ไทย และสิงคโปร์
พร้อมเพิ่มงบอุดหนุนให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กและชาวประมงเพื่อหาตลาดใหม่
ลงทุนในการแปรรูปอาหารทะเล เพื่อเพิ่มมูลค่าแทนการขายวัตถุดิบ
โดยมีห้างร้านเอกชนในประเทศที่ช่วยกัน
ร่วมมือกับรัฐบาลในการกระจายสินค้าและจัดกิจกรรมชิมฟรีตามเมืองใหญ่ ๆ
ญี่ปุ่นนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องอาหารทะเล ขณะที่จีนเองก็เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด
เมื่อกลับมาจับมือกันได้ จึงมีแต่ผลดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งในแง่การค้าการลงทุน
รวมไปถึงการฟื้นความเชื่อมั่นกลับสู่อาหารทะเลญี่ปุ่นอีกครั้งด้วย
ที่มาข้อมูล : Kyodonews, Reuters,Seafoodsource
ที่มารูปภาพ : Freepik TNN