จับตา "สหรัฐฯ-จีน" เจรจาการค้าวันนี้ ปมส่งออกแร่หายาก

จับตา "สหรัฐฯ-จีน" เจรจาการค้าวันนี้  ปมส่งออกแร่หายาก

เจ้าหน้าที่ระดับสูง 3 คนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ  มีกำหนดพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการจีน ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ในวันจันทร์นี้ ( 9 มิถุนายน 2568 ) เพื่อหารือเกี่ยวกับการแก้ไขข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก  และตลาดทั่วโลกต่างก็จับตาไปที่การหารือดังกล่าวยังคงวิตกกังวล


ประธานาธิบดีทรัมป์ โพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social ของเขา ระบุว่า เขารู้สึกยินดีที่จะประกาศว่า "สก็อตต์ เบสเซนต์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ,  "ฮาเวิร์ด ลุตนิค" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  และ "จามีสัน กรีเออร์" ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะเป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ในการเจรจากับทางการจีน ในวันจันทร์นี้ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม


สอดคล้องกับกระทรวงต่างประเทศของจีนที่กล่าวเมื่อวันเสาร์ ( 7 มิถุนายน 2568 ) ระบุว่า "เหอ หลี่เฟิง" รองนายกรัฐมนตรีของจีน จะอยู่ที่สหราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 8 มิถุนายนถึง 13 มิถุนายน 2568 นี้ โดยเสริมว่าการประชุมครั้งแรกของกลไกการปรึกษาหารือด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะจัดขึ้นในระหว่างการเยือนครั้งนี้ โดยทรัมป์ระบุว่า “การประชุมน่าจะผ่านไปด้วยดี” 


ก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ( 5 มิถุนายน 2568 ) ผู้นำของสองชาติได้พูดคุยกันโดยตรงเป็นครั้งแรกนับจากความตึงเครียดทางการค้าที่ก่อตัวขึ้น โดยเฉพาะปมการส่งออกแร่ธาตุสำคัญ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีจีนสีจิ้นผิง โดยถือเป็นการพูดคุยระหว่างผู้นำที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก  และผลออกมาในเชิงบวก ทรัมป์และสีจิ้นผิงตกลงจะไปเยี่ยมเยียนกัน และขอให้เจ้าหน้าที่ของพวกเขาหารือกันในระหว่างนี้


สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ทั้งสองประเทศต่างอยู่ภายใต้แรงกดดันในการคลายความตึงเครียด โดยเศรษฐกิจโลกตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการที่จีนควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากซึ่งจีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ และนักลงทุนส่วนใหญ่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความพยายามที่กว้างขึ้นของทรัมป์ที่จะเรียกเก็บภาษีสินค้าจากพันธมิตรทางการค้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ


ในขณะเดียวกัน จีนพบว่าอุปทานสินค้านำเข้าสำคัญจากสหรัฐฯเช่น ซอฟต์แวร์ออกแบบชิป และชิ้นส่วนโรงงานนิวเคลียร์ลดลง

สรุปข่าว

จับตา "สหรัฐฯ-จีน" เจรจาการค้าวันนี้ ปมส่งออกแร่หายาก

เจ้าหน้าที่ระดับสูง 3 คนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ  มีกำหนดพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางการจีน ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ในวันจันทร์นี้ ( 9 มิถุนายน 2568 ) เพื่อหารือเกี่ยวกับการแก้ไขข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก  และตลาดทั่วโลกต่างก็จับตาไปที่การหารือดังกล่าวยังคงวิตกกังวล


ประธานาธิบดีทรัมป์ โพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social ของเขา ระบุว่า เขารู้สึกยินดีที่จะประกาศว่า "สก็อตต์ เบสเซนต์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ,  "ฮาเวิร์ด ลุตนิค" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  และ "จามีสัน กรีเออร์" ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะเป็นตัวแทนของสหรัฐฯ ในการเจรจากับทางการจีน ในวันจันทร์นี้ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม


สอดคล้องกับกระทรวงต่างประเทศของจีนที่กล่าวเมื่อวันเสาร์ ( 7 มิถุนายน 2568 ) ระบุว่า "เหอ หลี่เฟิง" รองนายกรัฐมนตรีของจีน จะอยู่ที่สหราชอาณาจักรระหว่างวันที่ 8 มิถุนายนถึง 13 มิถุนายน 2568 นี้ โดยเสริมว่าการประชุมครั้งแรกของกลไกการปรึกษาหารือด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะจัดขึ้นในระหว่างการเยือนครั้งนี้ โดยทรัมป์ระบุว่า “การประชุมน่าจะผ่านไปด้วยดี” 


ก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ( 5 มิถุนายน 2568 ) ผู้นำของสองชาติได้พูดคุยกันโดยตรงเป็นครั้งแรกนับจากความตึงเครียดทางการค้าที่ก่อตัวขึ้น โดยเฉพาะปมการส่งออกแร่ธาตุสำคัญ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีจีนสีจิ้นผิง โดยถือเป็นการพูดคุยระหว่างผู้นำที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก  และผลออกมาในเชิงบวก ทรัมป์และสีจิ้นผิงตกลงจะไปเยี่ยมเยียนกัน และขอให้เจ้าหน้าที่ของพวกเขาหารือกันในระหว่างนี้


สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ทั้งสองประเทศต่างอยู่ภายใต้แรงกดดันในการคลายความตึงเครียด โดยเศรษฐกิจโลกตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการที่จีนควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากซึ่งจีนเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ และนักลงทุนส่วนใหญ่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความพยายามที่กว้างขึ้นของทรัมป์ที่จะเรียกเก็บภาษีสินค้าจากพันธมิตรทางการค้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ


ในขณะเดียวกัน จีนพบว่าอุปทานสินค้านำเข้าสำคัญจากสหรัฐฯเช่น ซอฟต์แวร์ออกแบบชิป และชิ้นส่วนโรงงานนิวเคลียร์ลดลง

ทั้งนี้ทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงชั่วคราว 90 วัน เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อยกเลิกภาษีศุลกากรที่สูงถึงสามหลักที่ต่างก็เรียกเก็บต่อกัน นับตั้งแต่วันที่ทรัมป์ได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมกราคม 2568  โดยข้อตกลงเบื้องต้นดังกล่าวครั้งนั้นได้กระตุ้นให้ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวขึ้น และดัชนีของสหรัฐฯ ที่เคยอยู่ในระดับตลาดหมีหรือใกล้เคียงก็ได้ฟื้นตัวกลับมาจากความสูญเสียส่วนใหญ่แล้ว


ดัชนี S&P 500 ดัชนีหุ้นซึ่งอยู่ที่จุดต่ำสุดในช่วงต้นเดือนเมษายน ลดลงเกือบ 18% หลังจากทรัมป์เปิดเผยภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ "วันปลดปล่อย" สำหรับสินค้าจากทั่วโลก ปัจจุบันอยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์เพียง 2% เท่านั้น การเพิ่มขึ้นหนึ่งในสามครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นหลังจากข้อตกลงสงบศึกระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เจนีวา


อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงชั่วคราวดังกล่าวยังไม่ได้แก้ไขข้อกังวลในวงกว้างที่กดดันความสัมพันธ์ทวิภาคี นับตั้งแต่การค้าเฟนทานิลที่ผิดกฎหมาย ไปจนถึงสถานะของการร้องเรียนของไต้หวันและสหรัฐฯ ที่ปกครองแบบประชาธิปไตยเกี่ยวกับรูปแบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกและอยู่ภายใต้รัฐบาลจีน


ทรัมป์มีการออกขู่หลายครั้งว่าจะดำเนินการใช้มาตรการลงโทษคู่ค้าหลายครั้ง แต่สุดท้ายมักจะมีการยกเลิกมาตรการบางส่วน แนวทางที่เปลี่ยนแปลงไปมาบ่อยครั้ง ทำให้บรรดาผู้นำโลกมึนงงและผู้บริหารธุรกิจต่างหวาดผวา


อย่างไรก็ตามทางการจีนมีการส่งออกแร่ธาตุสำคัญอยู่ในมือและเป็นแหล่งสร้างอิทธิพล ดังนั้นการหยุดการส่งออกแร่ธาตุหายากดังกล่าว จึงอาจสร้างแรงกดดันทางการเมืองภายในประเทศต่อประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันได้ เนื่องจากบริษัทเอกชนต่างๆ ไม่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่ขับเคลื่อนด้วยแร่ธาตุได้ และมีผลไปถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะซบเซาลง 

ก่อนหน้านี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เคยระบุว่าจีนเป็นคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์อันดับหนึ่ง และเป็นประเทศเดียวในโลกที่สามารถท้าทายสหรัฐฯ ทางเศรษฐกิจและการทหารได้


สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า "เควิน แฮสเซตต์"  หัวหน้าสภาเศรษฐกิจแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวในรายการ Face the Nation ทางสถานีซีบีเอสเมื่อวันอาทิตย์ ( 8 มิถุนายน 2568 ) ระบุว่า “เราต้องการให้แร่ธาตุหายาก แม่เหล็กซึ่งมีความสำคัญต่อโทรศัพท์มือถือ และทุกสิ่งทุกอย่างไหลเวียนไปตามปกติเหมือนก่อนต้นเดือนเมษายน และเราไม่ต้องการรายละเอียดทางเทคนิคใดๆ ที่จะทำให้กระบวนการนี้ล่าช้าลง และนั่นก็ชัดเจนสำหรับพวกเขา”


ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้นในปีนี้ เนื่องจากทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจีน ส่งผลให้ปักกิ่งตอบโต้กลับ แม้ว่าข้อตกลงเจนีวาจะมีไว้เพื่อปูทางไปสู่การลดความตึงเครียดในวงกว้าง แต่การเจรจาในเวลาต่อมาก็หยุดชะงักลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางการโต้แย้งกันระหว่างทั้งสองฝ่าย


สหรัฐฯ กล่าวว่าการขนส่งแม่เหล็กหายากซึ่งจำเป็นต่อยานยนต์ไฟฟ้าและระบบป้องกันประเทศของสหรัฐฯ ลดลง ขณะที่จีนไม่พอใจที่สหรัฐฯ ออกข้อจำกัดเกี่ยวกับชิปปัญญาประดิษฐ์จากบริษัท Huawei Technologies ซอฟต์แวร์สำหรับชิปออกแบบ เครื่องยนต์เครื่องบิน และปมจำกัดวีซ่าสำหรับนักเรียนจีนกว่า 280,000 คน

ที่มาข้อมูล : Reuters Bloomberg

ที่มารูปภาพ : Freepik