"เมอร์เคิล แคปปิตอล" ประเมิน "เฟด" เล็งหั่นดอกเบี้ย หนุน "บิทคอยน์" ลุ้น All Time High ครึ่งปีหลัง

"เมอร์เคิล แคปปิตอล" ประเมิน "เฟด" เล็งหั่นดอกเบี้ย หนุน "บิทคอยน์" ลุ้น All Time High ครึ่งปีหลัง

นายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงครึ่งปีหลังคาดยังสดใสต่อเนื่อง ได้แรงหนุนหลักจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. 68 รวมทั้งการทำ QE เป็นแรงหนุนสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะบิทคอยน์จะเป็นสินทรัพย์แรกที่ได้ประโยชน์ และมีโอกาสทำ All Time High อีกครั้ง ในช่วงไตรมาส 3-4/68

สรุปข่าว

ปริมาณการซื้อขายตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยยังน้อย แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นมาบ้าง เพราะผลตอบแทนสินทรัพยดิจิทัลทางเลือกนอกเหนือจากบิทคอยน์ ยังไม่ค่อยดี ประกอบกับปัจจัยภายนอกและเศรษฐกิจไทยกดดัน ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนยังไม่กลับมา

นายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วงครึ่งปีหลังคาดยังสดใสต่อเนื่อง ได้แรงหนุนหลักจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. 68 รวมทั้งการทำ QE เป็นแรงหนุนสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะบิทคอยน์จะเป็นสินทรัพย์แรกที่ได้ประโยชน์ และมีโอกาสทำ All Time High อีกครั้ง ในช่วงไตรมาส 3-4/68

ทั้งนี้จากการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ของเฟด ที่เงินเฟ้อไม่ได้สูงอย่างที่คาด ประกอบกับยอดขอรับสวัสดิการแห่งรัฐค่อนข้างอ่อนตัวลง สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่ค่อยดี คาดว่าจะทำให้เฟดต้องปรับลดดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งการประชุมของเฟดยังเชื่อมั่นในการคงอัตราดอกเบี้ย และ Dot Plot บ่งชี้ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ครั้ง ในช่วงปี 68-70

นอกจากนี้ ครึ่งปีหลังยังได้ปัจจัยหนุนจากนโยบายการเงิน เช่น มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง หนุนสินทรัพย์ดิจิทัลโตขึ้นมากในช่วงไตรมาส 4/68 อย่างไรก็ตามนักลงทุนบางส่วนอาจมองว่าการทำ QE อาจต้องใช้เวลา ทำให้อาจมีแรงขายออกมาในระยะถัดไป แต่เป็นแรงขายระยะสั้น

ปัจจัยภายนอกในระยะสั้น ตลาดจับตาสงครามตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งปัจจุบันเหตุการณ์ยังไม่ลุกลาม โดยยังไม่มีประเทศที่สามเข้าร่วม แต่ปัจจุบันยังมีการเปิดศึกกันอยู่ ทำให้ระยะสั้นยังมีผลกระทบ อย่างไรก็ตามหากในระยะยาวสงครามไม่ได้ขยายตัว ประเด็นนี้จะไม่ได้กดดันตลาด สะท้อนว่าประเด็นดังกล่าวน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในแง่ของการลงทุน ทั้งนี้หากสหรัฐหรือประเทศใหญ่เข้าร่วม จะทำให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น ณ วันนี้ยังไม่กังวล แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

สำหรับประเด็นนโยบายสงครามการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ มีสัญญาณที่ดีมากขึ้น ซึ่งล่าสุด ทรัมป์เปิดเผยผ่านโซเชียลว่าสหรัฐจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 55% และจีนเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 10% แม้ตัวเลขจะห่างกันมาก แต่จีนส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐจำนวนมาก และคาดว่ายังมีดีลอื่น ๆ ภายใต้สัญญาที่ยังไม่ประกาศออกมา แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าสถานการณ์ค่อนข้างดูดี

ขณะที่ต้นเดือนก.ค. 68 จะครบกำหนดที่สหรัฐชะลอการขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้ากับประเทศทั่วโลก ซึ่งมองว่ามีโอกาสที่จะชะลอออกไปอีก ทั้งนี้ตลาดรอติดตามการชะลอการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของจีนที่จะครบกำหนดในเดือนส.ค. ซึ่งจากสัญญาณการพูดคุยที่ดีขึ้น มีโอกาสที่จะขยายระยเวลาเลื่อนเก็บภาษีจากจีนออกไปได้อีก ทำให้การเจรจาคล่องตัวมากขึ้น เป็นผลดีต่อภาพรวมการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะสินทรัพย์ดิจิทัล

นอกจากนี้ในส่วนของสินทรัพย์ดิจิทัลมีข่าวดีเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ อาทิ กลุ่มนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของโลก เริ่มเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ล่าสุด JPMorgan มีแผนที่จะสร้างสเตเบิลคอยน์เป็นของตนเอง ซึ่งจะเพิ่มการรับรู้และการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ประกอบกับวุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติผ่านร่างกฎหมายควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทสเตเบิลคอยน์ เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 68

ด้านตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกำไรส่วนทุน (Capital Gains) จากการขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 ในระยะเวลา 5 ปี มองว่าเป็นการเพิ่มการตระหนักรู้ได้มากขึ้นอย่างแน่นอน และหากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับเปลี่ยนกฎหมายเพื่อคุ้มครองนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลก็จะยิ่งทำให้ดีมานด์ไหลเข้ามาเพิ่มในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยยังน้อย แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นมาบ้าง เพราะ ผลตอบแทน Altcoin หรือสินทรัพยดิจิทัลทางเลือกนอกเหนือจากบิทคอยน์ ยังไม่ค่อยดี ประกอบกับปัจจัยภายนอกและเศรษฐกิจไทยกดดัน ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนยังไม่กลับมา แต่หากปัจจัยภายนอกคลี่คลาย กฎหมายไทยเอื้อต่อการลงทุน รวมทั้งเศรษฐกิจไทยกลับมาโตได้บ้าง จะทำให้ปริมาณการซื้อขายกลับมาแน่นอน

ที่มาข้อมูล : เมอร์เคิล แคปปิตอล

ที่มารูปภาพ : TNN