"เกาหลีใต้" เสนอลงทุนแสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ หวังปิดดีล "ภาษีทรัมป์" ก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม 2568

"เกาหลีใต้" เสนอลงทุนแสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ หวังปิดดีล "ภาษีทรัมป์" ก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม 2568

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า "โฮเวิร์ด ลุตนิก" รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ และ"คิม จอง-กวาน" รัฐมนตรีอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ ในระหว่างการประชุมที่กรุงวอชิงตัน เมื่อวันพฤหัสบดี (24 กรกฎาคม 2568)  ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันว่าความร่วมมือระหว่างภาคการผลิตของทั้งสองประเทศจะช่วยสนับสนุนข้อตกลงในการลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บจากเกาหลีใต้ได้อย่างไร 


โดยฝ่ายเกาหลีใต้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการลดอุปสรรคทางการค้า และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือในภาคการผลิต พร้อมเดินหน้าเจรจาต่อเนื่อง ท่ามกลางความพยายามอย่างหนักของทางเกาหลีใต้ที่จะบรรลุข้อตกลง ซึ่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าวว่าอยู่ใน "ขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญ"


การพบปะครั้งมีขึ้นหลังจากทางการสหรัฐฯ ได้ขอเลื่อนการเจรจาการค้าแบบ "2+2" ซึ่งเดิมมีกำหนดจัดในวันนี้ (25 กรกฎาคม 2568) เนื่องจาก "สก็อตต์ เบสเซนต์" รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ติดภารกิจอื่น โดยกระทรวงการคลังเกาหลีใต้ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะกำหนดวันหารือกันใหม่ระหว่าง"เบสเซนต์"กับ"คู ยุน-ชอล" รัฐมนตรีคลังเกาหลีใต้ รวมถึงผู้แทนการค้าระดับสูงของทั้งสองประเทศโดยเร็วที่สุด


เกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับการประชุมดังกล่าวเป็นอย่างมาก โดยมองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการเร่งเจรจา และหลีกเลี่ยงการถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บก่อนหน้านี้ และจะถึงเส้นตายหรือมีการบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568


นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังอยู่ระหว่างหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน เพื่อเปิดทางให้เงินทุนจากเกาหลีใต้ไหลเข้าสู่โครงการต่าง ๆ ในสหรัฐฯ โดยสำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้รายงานว่า รัฐบาลเตรียมเสนอแผนลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ของประเทศ ได้แก่ ซัมซุง กรุ๊ป (Samsung Group), เอสเค กรุ๊ป (SK Group), ฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ป (Hyundai Motor Group) และแอลจี กรุ๊ป (LG Group)

สรุปข่าว

กระทรวงอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า สหรัฐฯ และเกาหลีใต้กำลังเร่งเดินหน้าปิดดีลภาษี ก่อนถึงเส้นตาย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า "โฮเวิร์ด ลุตนิก" รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ และ"คิม จอง-กวาน" รัฐมนตรีอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ ในระหว่างการประชุมที่กรุงวอชิงตัน เมื่อวันพฤหัสบดี (24 กรกฎาคม 2568)  ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันว่าความร่วมมือระหว่างภาคการผลิตของทั้งสองประเทศจะช่วยสนับสนุนข้อตกลงในการลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บจากเกาหลีใต้ได้อย่างไร 


โดยฝ่ายเกาหลีใต้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการลดอุปสรรคทางการค้า และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือในภาคการผลิต พร้อมเดินหน้าเจรจาต่อเนื่อง ท่ามกลางความพยายามอย่างหนักของทางเกาหลีใต้ที่จะบรรลุข้อตกลง ซึ่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าวว่าอยู่ใน "ขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญ"


การพบปะครั้งมีขึ้นหลังจากทางการสหรัฐฯ ได้ขอเลื่อนการเจรจาการค้าแบบ "2+2" ซึ่งเดิมมีกำหนดจัดในวันนี้ (25 กรกฎาคม 2568) เนื่องจาก "สก็อตต์ เบสเซนต์" รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ติดภารกิจอื่น โดยกระทรวงการคลังเกาหลีใต้ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะกำหนดวันหารือกันใหม่ระหว่าง"เบสเซนต์"กับ"คู ยุน-ชอล" รัฐมนตรีคลังเกาหลีใต้ รวมถึงผู้แทนการค้าระดับสูงของทั้งสองประเทศโดยเร็วที่สุด


เกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับการประชุมดังกล่าวเป็นอย่างมาก โดยมองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการเร่งเจรจา และหลีกเลี่ยงการถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บก่อนหน้านี้ และจะถึงเส้นตายหรือมีการบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568


นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังอยู่ระหว่างหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน เพื่อเปิดทางให้เงินทุนจากเกาหลีใต้ไหลเข้าสู่โครงการต่าง ๆ ในสหรัฐฯ โดยสำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้รายงานว่า รัฐบาลเตรียมเสนอแผนลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ของประเทศ ได้แก่ ซัมซุง กรุ๊ป (Samsung Group), เอสเค กรุ๊ป (SK Group), ฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ป (Hyundai Motor Group) และแอลจี กรุ๊ป (LG Group)

อย่างไรก็ดี กระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานของเกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้นำการเจรจาการค้าครั้งนี้ ปฏิเสธที่จะยืนยันรายละเอียดของแผนการลงทุนดังกล่าว พร้อมขอให้สื่อใช้ความระมัดระวังในการรายงานเนื่องจากเป็นประเด็นอ่อนไหวในระหว่างการเจรจา 


ขณะที่ก่อนหน้านี้ประเทศญี่ปุ่นได้บรรลุดีลการค้ากับสหรัฐฯ โดยภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวได้เปิดทางให้ผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ เข้าถึงตลาดในประเทศได้มากขึ้น รวมถึงรถยนต์และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรบางประเภท พร้อมกับคำมั่นสัญญว่าญี่ปุ่นจะลงทุนให้สหรัฐฯถึง 550,000 ล้านดอลลาร์  และความเคลื่อนไหวนี้ได้กลายเป็นแรงกดดันต่อเกาหลีใต้  เนื่องจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่นแข่งขันกันในด้านต่างๆ เช่น ยานยนต์และเหล็กกล้า และข้อตกลงของญี่ปุ่นถูกมองโดยนักลงทุนว่าเป็นมาตรฐานสำหรับข้อตกลงประเภทที่รัฐบาลโซลควรให้ความสำคัญในการเจรจา

ที่มาข้อมูล : Reuters Yonhap

ที่มารูปภาพ : Freepik canva