"อเมริกา"ก็ไม่รอด ถูกสแกมเมอร์ "กัมพูชา" หลอกดูดเงินหมื่นล้านเหรียญ ชี้เครือข่ายใหญ่ระดับอุตสาหกรรม

สแกมเมอร์กัมพูชา แหล่งกดขี่ทาสยุคใหม่ 2025 


"สหรัฐอเมริกา" ประกาศคว่ำบาตรเครือข่ายสแกมเมอร์ ใน "กัมพูชา" และ "เมียนมา" หลังพบชาวอเมริกันถูกหลอกดูดเงินข้ามโลกไปกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ หรือว่า 3 แสนล้านบาท ในเวลาเพียงแค่ปีเดียว 


ข่าวใหญ่ที่ตอกย้ำว่า ตอนนี้ศูนย์กลางสแกมเมอร์ของโลกนั้นอยู่ในประเทศกัมพูชา และเมียนมา เมื่อสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ (OFAC) ของกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาตรการคว่ำบาตร “เครือข่ายศูนย์กลางการหลอกลวงทางไซเบอร์” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพุ่งเป้าไปที่ 9 เครือข่าย ในเมืองชเวก๊กโก ประเทศเมียนมา และ 10 เครือข่ายในกัมพูชา เพื่อปิดเส้นทางเงินของเครือข่ายเหล่านี้ 


สหรัฐอเมริกาเจอแก๊งไซเบอร์แผลงฤทธิ์อย่างหนัก หลังจากปีที่ผ่านมา (2024) ภายในเวลาแค่ปีเดียวชาวอเมริกันโดนหลอกดูดเงินจากเครือข่ายนี้ไปมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ( 3.1 แสนล้านบาท) พุ่งสูงขึ้นกว่าปีก่อนถึง 66%  เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ามีการเติบโตในเชิงอุตสาหกรรมของธุรกิจหลอกลวงออนไลน์อย่างชัดเจน


จอห์น เฮอร์ลีย์ (John Hurley) ปลัดกระทรวงการคลังด้านการก่อการร้ายและข่าวกรองทางการเงิน (TFI) ระบุว่า อุตสาหกรรมการหลอกลวงทางไซเบอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่เพียงแต่คุกคามความเป็นอยู่ที่ดีและความมั่นคงทางการเงินของประชาชนสหรัฐฯเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนหลายพันคนตกเป็น "ทาสยุคใหม่" ตั้งแต่การถูกคุกคาม ข่มขู่ หรือบีบบังคับ ให้ทำงานหรือบริการเหล่านี้  สอดคล้องกับรายงานจาก Amnesty International และองค์กรสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ที่ชี้ว่าศูนย์หลอกลวงในกัมพูชาและเมียนมานั้นแทบจะไม่ต่างจากเรือนจำ มีการควบคุมแรงงาน การลิดรอนเสรีภาพ และการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่พยายามต่อต้าน


เฮอร์ลีย์ เผยว่า ในปี 2024 ชาวอเมริกันที่ไม่ทันได้ระวังตัว ต้องสูญเสียเงินไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และวันนี้ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ กระทรวงการคลังจะทุ่มเทเครื่องมือทั้งหมดที่มี เพื่อต่อสู้กับระบบอาชญากรรมทางการเงินดังกล่าว เพื่อปกป้องชาวอเมริกันจากความเสียหายอันใหญ่หลวง ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการสแกม


มาร์โค รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ก็ย้ำถึงความตั้งใจในการจัดการปัญหานี้ โดยเสริมว่ามาตรการเหล่านี้ไม่เพียงมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องผู้เสียหายในสหรัฐฯ แต่ยังเป็นการทำลายโครงสร้างทางการเงินของขบวนการอาชญากรรมที่ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มก้อนเล็กๆ แต่ว่าดำเนินงานอย่างยิ่งใหญ่ในระดับอุตสาหกรรม


รายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า เหยื่อที่ตกเป็น "ทาสยุคใหม่" ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนว่างงาน แก๊งไซเบอร์เหล่านี้จะแต่งเรื่องใช้ข้อมูลเท็จ ล่อลวงให้เหยื่อสนใจไปทำงานในค่ายแรงงาน  แต่หลังจากนั้นแรงงานจะโดนหลอกให้ทำงานต่อด้วยการผูกมัดหนี้สิน หากไม่ยอมทำงานก็จะมีการใช้ความรุนแรง หรือการข่มขู่ให้ค้าประเวณี  เพื่อบีบบังคับให้แรงงานเหล่านี้ทำหน้าที่หลอกลวงเหยื่อคนอื่นๆ ในโลกออนไลน์ ผ่านการส่งข้อความในแอปพลิเคชั่นหรือโทรศัพท์  โน้มน้าวให้บอกข้อมูลการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และติดตั้งซอฟต์แวร์เถื่อนจากระยะไกลเพื่อดูดเงินหรือถ่ายเททรัพย์สินออกมาได้


โดยวิธีการหลอกลวงที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า "pig-butchering scam" หรือหลอกเอาหมูมาเชือด มักเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ปลอมผ่านแอปพลิเคชันหาคู่หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้หลอกลวงจะใช้เวลานานในการสร้างความไว้ใจ ก่อนจะชักจูงเหยื่อให้ลงทุนในแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่จัดทำขึ้นอย่างแนบเนียน เมื่อเหยื่อลงทุนแล้ว เงินทั้งหมดจะถูกยักย้ายไปยังบัญชีที่ไม่สามารถติดตามได้ เหยื่อส่วนใหญ่ไม่เพียงสูญเสียเงินออมทั้งชีวิต แต่ยังต้องเผชิญกับผลกระทบด้านจิตใจที่ยากจะเยียวยา


ข่าวรายงานว่าเครือข่ายสแกมเมอร์เหล่านี้ โตอย่างรวดเร็วในช่วงการระบาดของโควิด-19 และได้รับความสนใจจากทั่วโลกอีกครั้ง เพราะมีกวาดล้างครั้งใหญ่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (2025) ซึ่งเอพี (AP) รายงานว่า เดือน กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีแรงงานกว่า 7,000 คนจากทั่วโลก ถูกควบคุมตัวและรอส่งตัวกลับประเทศ บริเวณชายแดนประเทศเมียนมา จากการปราบปรามครั้งนี้ ผ่านประสานงานกันระหว่างประเทศไทย เมียนมา และจีน


แม้จะมีการกวาดล้างครั้งใหญ่ แต่นักสิทธิมนุษยชนก็ยังตำหนิรัฐบาลกัมพูชาเนื่องจากไม่ดำเนินการอย่างเด็ดขาด โดยในเดือน มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ประณามรัฐบาลกัมพูชาว่า จงใจเพิกเฉย  ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเครือข่ายสแกมเมอร์


ดังนั้นการลงดาบของอเมริกาครั้งนี้ ด้วยมาตรการคว่ำบาตรจึงใช้กฎหมายหลายฉบับควบคู่กันเพื่อให้มาตรการมีความครอบคลุมและมีผลผูกพันในหลายมิติ ตั้งแต่การปิดกั้นการเข้าถึงทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของสหรัฐ ไปจนถึงการห้ามประชาชนหรือบริษัทอเมริกันทำธุรกรรมกับบุคคลและองค์กรที่ถูกระบุชื่อไว้ในลิสต์



สรุปข่าว

สหรัฐอเมริกาก็ไม่รอด โดนแก๊งหลอกลวงไซเบอร์ในกัมพูชาและเมียนมา ดูดเงินไปกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือว่า 3.1 แสนล้านบาท พุ่งขึ้น 66 % ในเวลาเพียงแค่ปีเดียว ล่าสุดกระทรวงคลังสหรัฐฯ จึงประกาศจัดการขั้นเด็ดขาดเพื่อปกป้องพลเมืองของตนเอง และลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ด้วยการออกมาตรการคว่ำบาตรเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยพุ่งเป้าไปที่ 9 เครือข่าย ในเมืองชเวก๊กโก ประเทศเมียนมา และ 10 เครือข่ายในกัมพูชา เพื่อปิดเส้นทางเงินของเครือข่ายเหล่านี้

สแกมเมอร์กัมพูชา แหล่งกดขี่ทาสยุคใหม่ 2025 


"สหรัฐอเมริกา" ประกาศคว่ำบาตรเครือข่ายสแกมเมอร์ ใน "กัมพูชา" และ "เมียนมา" หลังพบชาวอเมริกันถูกหลอกดูดเงินข้ามโลกไปกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ หรือว่า 3 แสนล้านบาท ในเวลาเพียงแค่ปีเดียว 


ข่าวใหญ่ที่ตอกย้ำว่า ตอนนี้ศูนย์กลางสแกมเมอร์ของโลกนั้นอยู่ในประเทศกัมพูชา และเมียนมา เมื่อสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ (OFAC) ของกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาตรการคว่ำบาตร “เครือข่ายศูนย์กลางการหลอกลวงทางไซเบอร์” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพุ่งเป้าไปที่ 9 เครือข่าย ในเมืองชเวก๊กโก ประเทศเมียนมา และ 10 เครือข่ายในกัมพูชา เพื่อปิดเส้นทางเงินของเครือข่ายเหล่านี้ 


สหรัฐอเมริกาเจอแก๊งไซเบอร์แผลงฤทธิ์อย่างหนัก หลังจากปีที่ผ่านมา (2024) ภายในเวลาแค่ปีเดียวชาวอเมริกันโดนหลอกดูดเงินจากเครือข่ายนี้ไปมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ( 3.1 แสนล้านบาท) พุ่งสูงขึ้นกว่าปีก่อนถึง 66%  เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ามีการเติบโตในเชิงอุตสาหกรรมของธุรกิจหลอกลวงออนไลน์อย่างชัดเจน


จอห์น เฮอร์ลีย์ (John Hurley) ปลัดกระทรวงการคลังด้านการก่อการร้ายและข่าวกรองทางการเงิน (TFI) ระบุว่า อุตสาหกรรมการหลอกลวงทางไซเบอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่เพียงแต่คุกคามความเป็นอยู่ที่ดีและความมั่นคงทางการเงินของประชาชนสหรัฐฯเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้คนหลายพันคนตกเป็น "ทาสยุคใหม่" ตั้งแต่การถูกคุกคาม ข่มขู่ หรือบีบบังคับ ให้ทำงานหรือบริการเหล่านี้  สอดคล้องกับรายงานจาก Amnesty International และองค์กรสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ที่ชี้ว่าศูนย์หลอกลวงในกัมพูชาและเมียนมานั้นแทบจะไม่ต่างจากเรือนจำ มีการควบคุมแรงงาน การลิดรอนเสรีภาพ และการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่พยายามต่อต้าน


เฮอร์ลีย์ เผยว่า ในปี 2024 ชาวอเมริกันที่ไม่ทันได้ระวังตัว ต้องสูญเสียเงินไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และวันนี้ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ กระทรวงการคลังจะทุ่มเทเครื่องมือทั้งหมดที่มี เพื่อต่อสู้กับระบบอาชญากรรมทางการเงินดังกล่าว เพื่อปกป้องชาวอเมริกันจากความเสียหายอันใหญ่หลวง ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการสแกม


มาร์โค รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ก็ย้ำถึงความตั้งใจในการจัดการปัญหานี้ โดยเสริมว่ามาตรการเหล่านี้ไม่เพียงมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องผู้เสียหายในสหรัฐฯ แต่ยังเป็นการทำลายโครงสร้างทางการเงินของขบวนการอาชญากรรมที่ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มก้อนเล็กๆ แต่ว่าดำเนินงานอย่างยิ่งใหญ่ในระดับอุตสาหกรรม


รายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า เหยื่อที่ตกเป็น "ทาสยุคใหม่" ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนว่างงาน แก๊งไซเบอร์เหล่านี้จะแต่งเรื่องใช้ข้อมูลเท็จ ล่อลวงให้เหยื่อสนใจไปทำงานในค่ายแรงงาน  แต่หลังจากนั้นแรงงานจะโดนหลอกให้ทำงานต่อด้วยการผูกมัดหนี้สิน หากไม่ยอมทำงานก็จะมีการใช้ความรุนแรง หรือการข่มขู่ให้ค้าประเวณี  เพื่อบีบบังคับให้แรงงานเหล่านี้ทำหน้าที่หลอกลวงเหยื่อคนอื่นๆ ในโลกออนไลน์ ผ่านการส่งข้อความในแอปพลิเคชั่นหรือโทรศัพท์  โน้มน้าวให้บอกข้อมูลการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และติดตั้งซอฟต์แวร์เถื่อนจากระยะไกลเพื่อดูดเงินหรือถ่ายเททรัพย์สินออกมาได้


โดยวิธีการหลอกลวงที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า "pig-butchering scam" หรือหลอกเอาหมูมาเชือด มักเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ปลอมผ่านแอปพลิเคชันหาคู่หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้หลอกลวงจะใช้เวลานานในการสร้างความไว้ใจ ก่อนจะชักจูงเหยื่อให้ลงทุนในแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่จัดทำขึ้นอย่างแนบเนียน เมื่อเหยื่อลงทุนแล้ว เงินทั้งหมดจะถูกยักย้ายไปยังบัญชีที่ไม่สามารถติดตามได้ เหยื่อส่วนใหญ่ไม่เพียงสูญเสียเงินออมทั้งชีวิต แต่ยังต้องเผชิญกับผลกระทบด้านจิตใจที่ยากจะเยียวยา


ข่าวรายงานว่าเครือข่ายสแกมเมอร์เหล่านี้ โตอย่างรวดเร็วในช่วงการระบาดของโควิด-19 และได้รับความสนใจจากทั่วโลกอีกครั้ง เพราะมีกวาดล้างครั้งใหญ่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (2025) ซึ่งเอพี (AP) รายงานว่า เดือน กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีแรงงานกว่า 7,000 คนจากทั่วโลก ถูกควบคุมตัวและรอส่งตัวกลับประเทศ บริเวณชายแดนประเทศเมียนมา จากการปราบปรามครั้งนี้ ผ่านประสานงานกันระหว่างประเทศไทย เมียนมา และจีน


แม้จะมีการกวาดล้างครั้งใหญ่ แต่นักสิทธิมนุษยชนก็ยังตำหนิรัฐบาลกัมพูชาเนื่องจากไม่ดำเนินการอย่างเด็ดขาด โดยในเดือน มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ประณามรัฐบาลกัมพูชาว่า จงใจเพิกเฉย  ต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเครือข่ายสแกมเมอร์


ดังนั้นการลงดาบของอเมริกาครั้งนี้ ด้วยมาตรการคว่ำบาตรจึงใช้กฎหมายหลายฉบับควบคู่กันเพื่อให้มาตรการมีความครอบคลุมและมีผลผูกพันในหลายมิติ ตั้งแต่การปิดกั้นการเข้าถึงทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของสหรัฐ ไปจนถึงการห้ามประชาชนหรือบริษัทอเมริกันทำธุรกรรมกับบุคคลและองค์กรที่ถูกระบุชื่อไว้ในลิสต์



ก่อนจะถูกคว่ำบาตรในครั้งนี้ กัมพูชาได้มีการเคลื่อนไหวประกาศกวาดล้างแก๊งสแกมเมอร์ แต่ในมุมของหลายฝ่ายมองว่ายังทำได้ไม่ถึงต้นตอ


กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่าน มีรายงานว่ากองกำลังของพนมเปญ เข้าบุกทลายสถานที่ที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องการกับสแกมออนไลน์ และจู่โจ่มทลายกลุ่มคอลเซนเตอร์  ซึ่งพบผู้ต้องสงสัยมากกว่า 200 คน เป็นทั้งชาวเวียดนาม ชาวกัมพูชา และชาวจีน 


โดยการกวาดล้างดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากที่ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เคร่งครัดกับการปราบปรามสแกมเมอร์ และการหลอกลวงออนไลน์  ให้จัดการกับแหล่งซ่องสุมของสแกมเมอร์ภายในพื้นที่ของตน และดำเนินตามกฎหมายทันที พร้อมสั่งการให้เนรเทศชาวต่างชาติที่เข้ามาผิดกฎหมาย หรือมีส่วนร่วมกับการสแกมออนไลน์ โดยย้ำว่าหากใครละเลย มีผลต่อการพิจารณาตำแหน่ง พร้อมเสริมกำลังทหาร–ตำรวจ–กองกำลังพิเศษเข้าร่วมปราบปรามเต็มรูปแบบ


ที่ผ่านมาก่อนจะถูกชี้เป้าคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ กัมพูชาถูกองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศและ UNODC รายงานว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของอาชญากรรมทางไซเบอร์ในเอเชีย ทั้งรายงานของแอมเนสตี้เอง ยังระบุฐานสแกมเมอร์ของกัมพูชา 53 แห่ง ใน 13 พื้นที่ ที่พบว่ามีการทำร้ายร่างกาย และบังคับให้คนทำงาน อีกทั้งโครงการต่อต้านการค้ามนุษย์กัมพูชายังประเมินว่ามีฐานของสแกมเมอร์อย่างน้อย 350 แห่งที่ดําเนินงานทั่วประเทศ ณ เดือนตุลาคม 2024 โดยใช้แรงงานจากต่างชาติประมาณ 150,000 คน


ชาแนลนิวส์เอเชีย ระบุว่าปฏิบัติการปราบปรามศูนย์สแกมเมอร์ในอดีตที่ผ่านมา ประสบความล้มเหลว สืบเนื่องจากไม่ได้จัดการกับเสาหลักพื้นฐาน 2 อย่างที่ช่วยให้อุตสาหกรรมนี้เฟื่องฟู หนึ่งคือเครือข่ายท้องถิ่นทรงอิทธิพลที่คอยทำหน้าที่ปกป้องพวกปฏิบัติการสแกมเมอร์ และสองคือโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพที่ล้ำสมัยของที่ตั้งเหล่านี้


พร้อมกันนี้ชาแนลนิวส์เอเชียยังชี้สรุปไว้ด้วยว่า ตราบใดที่ไม่มีการแตะต้องชนชั้นสูงที่มอบการคุ้มครองศูนย์สแกมเมอร์ทั้งหลาย และที่ตั้งศูนย์สแกมเมอร์เหล่านั้นยังคงยู่ดี เครือข่ายสแกมเมอร์ก็สามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว หลังแรงกดดันลดลง ทำให้การปราบปรามเป็นระยะๆสามารถสั่นคลอนปฏิบัติการสแกมเมอร์ได้เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว และพวกที่ถูกจับกุมนั้นมีแนวโน้มว่าจะเป็นคนงานในระดับล่างๆเท่านั้น ไม่ใช่พวกที่อยู่ในระดับสูง


ดาบฟันลงมาแล้ว กับมาตรการคว่้ำบาตรครั้งนี้ แต่ผลจะเป็นเช่นไร ต้องจับตาดู เพราะไม่ใช่แค่ชาวอเมริกันที่โดนหลอก คนไทย และอีกหลายชาติก็เจอกับปัญหานี้เช่นกัน และผลกระทบทางเศรษฐกิจก็มหาศาล มูลค่าสะเทือนโลกได้ โดยเฉพาะยิ่งวันนี้วันที่เทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกล โลกของดิจิทัลและการเงินเชื่อมโยงข้ามโลกได้อย่างง่ายดาย และดูดเงินได้ในพริบตา

ที่มาข้อมูล : Reuters, Al Jazeera, The Diplomat, Treasury.gov , Amnesty International, Channel news asia

ที่มารูปภาพ : Freepik TNN