
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียที่ปะทุขึ้นในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังส่งแรงสะเทือนที่ลึกกว่าด้านเศรษฐกิจ เพราะอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ในนโยบายการต่างประเทศของอินเดีย โดยเฉพาะต่อความสัมพันธ์กับมหาอำนาจอย่างจีน ซึ่งถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากนักวิเคราะห์ทั่วโลก
Capital Economics รายงานว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ อยู่ในจุดที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี สาเหตุสำคัญมาจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าในอัตราสูงที่ทรัมป์บังคับใช้กับอินเดีย โดยอ้างเหตุผลว่าอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียและตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าอเมริกัน การตัดสินใจเชิญผู้บัญชาการทหารปากีสถานเข้าทำเนียบขาวของทรัมป์ยิ่งทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น เพราะอินเดียมีข้อพิพาทยืดเยื้อกับปากีสถานในเขตแคชเมียร์
สรุปข่าว
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียที่ปะทุขึ้นในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังส่งแรงสะเทือนที่ลึกกว่าด้านเศรษฐกิจ เพราะอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ในนโยบายการต่างประเทศของอินเดีย โดยเฉพาะต่อความสัมพันธ์กับมหาอำนาจอย่างจีน ซึ่งถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากนักวิเคราะห์ทั่วโลก
Capital Economics รายงานว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ อยู่ในจุดที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี สาเหตุสำคัญมาจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าในอัตราสูงที่ทรัมป์บังคับใช้กับอินเดีย โดยอ้างเหตุผลว่าอินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียและตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้าอเมริกัน การตัดสินใจเชิญผู้บัญชาการทหารปากีสถานเข้าทำเนียบขาวของทรัมป์ยิ่งทำให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้น เพราะอินเดียมีข้อพิพาทยืดเยื้อกับปากีสถานในเขตแคชเมียร์
ท่ามกลางแรงกดดันดังกล่าว อินเดียเริ่มหันมาปรับท่าทีทางการทูต โดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบ 7 ปี พร้อมทั้งเปิดข้อตกลงฟื้นฟูความร่วมมือทางการค้า โดยเฉพาะด้าน “แร่หายาก” ซึ่งจีนถือครองอำนาจตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อินเดีย–จีนยังเต็มไปด้วยความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาทเรื่องเขื่อนในแม่น้ำพรหมบุตร ความกังวลต่อการลงทุนจีนในภาคอุตสาหกรรมท้องถิ่น หรือข้อพิพาทชายแดนหิมาลัยที่ยังหาทางออกไม่ได้
นักวิเคราะห์จาก Capital Economics ประเมินว่า อินเดียไม่น่าจะเลือกเข้าข้างจีนอย่างเต็มตัว แต่มีแนวโน้มที่จะฟื้นคืนจุดยืน “ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” ที่เคยใช้มาแล้วตั้งแต่หลังได้รับเอกราชและดำเนินต่อเนื่องในยุคสงครามเย็น ขณะเดียวกัน อินเดียก็ไม่อาจผูกอนาคตไว้กับจีนได้ทั้งหมด เพราะการนำเข้าสินค้าจากจีนจำนวนมากสร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตภายในประเทศ และอินเดียเองเป็นหนึ่งในชาติที่ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดของจีนมากที่สุดในโลก
ท้ายที่สุด หากทรัมป์ยังคงเดินหน้านโยบายการค้าที่แข็งกร้าวต่ออินเดียต่อไป โอกาสที่อินเดียจะถูกดึงเข้าสู่พันธมิตรตะวันตกในฐานะ “ฐานการผลิตใหม่ที่เชื่อถือได้” ก็อาจลดลง ความเป็นไปได้ที่อินเดียจะเลือกเส้นทาง “สายกลาง” จึงมีน้ำหนักมากขึ้น เพราะจะช่วยรักษาอำนาจการต่อรองกับทุกฝ่ายในเวทีโลก
