
กลายเป็นประเด็นขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างจีนกับเกาหลีใต้ เมื่อซีรีส์ดราม่าการเมือง เรื่อง Tempest ของ Disney+ ที่มี จอนจีฮยอน นักแสดงหญิงชื่อดังของเกาหลีใต้เป็นนักแสดงนำ มีบทพูดที่สร้างความไม่พอใจให้กับชาวจีน โดยมีฉากหนึ่งใรซีรีส์ที่ตัวละครของเธอซึ่งเป็นนักการทูตพูดว่า “ทำไมจีนจึงเลือกทำสงคราม ระเบิดนิวเคลียร์อาจจะตกลงมาที่พรมแดนก็ได้” ซึ่งคำพูดนี้ ทำให้คนจีนจำนวนมากรู้สึกว่าเป็นคำพูดบิดเบือนและดูหมิ่นประเทศจีน เนื่องจากที่ผ่านมา จีนแสดงออกบนเวทีโลกอย่างชัดเจนว่า จีนไม่เคยเลือกการก่อสงคราม และจีนมุ่งมั่นสู่เส้นทางแห่งสันติภาพมาตลอด จนมีการแชร์คลิปฉากนี้ไปอย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านทั้งตัว จอนจีฮยอน ที่เป็นนักแสดง และกระแสต่อต้านอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้ ซึ่งมีทั้งการเรียกร้องให้รัฐบาลจีนแบนอุตสาหกรรมบันเทิงจากเกาหลีใต้ทั้งหมด และการเรียกร้องให้ภาคธุรกิจ แบรนด์ต่าง ๆ ที่ใช้ จอนจีฮยอน เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ยกเลิกสัญญาทั้งหมดและถอดเธอออกจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไม่เช่นนั้น ผู้บริโภคชาวจีนก็จะแบนสินค้าแบรนด์นั้นตามไปด้วย
ที่ผ่านมา จอนจีฮยอน เป็นนักแสดงเกาหลีใต้ที่ค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบของชาวจีน แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ความรู้สึกที่ชาวจีนมีต่อเธอเปลี่ยนไปในทันที ก่อนหน้านี้ เคยเกิดเหตุการณ์ที่ผู้บริโภคชาวจีนพยายามกดดันแบรนด์ระดับโลกต่าง ๆ ที่พวกเขารู้สึกว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายดูหมิ่นชาวจีน จนทำให้แบรนด์ระดับโลกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เสื้อผ้า แบรนด์เครื่องสำอาง แบรนด์ร้านอาหาร ต้องระมัดระวังอย่างมากในการทำแคมเปญโฆษณา หรือแบรนด์การตลาดในประเทศจีน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการตีความจนอาจเกิดความเข้าใจผิดว่ามีเนื้อหาที่ดูหมิ่นคนจีน หรือเนื้อหาอะไรก็ตามที่อาจทำให้คนจีนรู้สึกไม่สบายใจ เพราะจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และการทำธุรกิจในประเทศจีนอย่างรุนแรง ซึ่งการที่จีนเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่จึงทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่สร้างความขุ่นเคืองใจกับผู้บริโภคชาวจีน
อย่างกรณีของ จอนจีฮยอน คนจีนมองว่าเธอเองก็เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของเกาหลีใต้ เธอย่อมมีสิทธิเลือกบทที่เธอจะพูดในฉากการแสดง และมีสิทธิที่จะปฏิเสธ ถ้าหากเธอรู้สึกว่าเป็นบทพูดที่ไม่เหมาะสม
สรุปข่าว
กลายเป็นประเด็นขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างจีนกับเกาหลีใต้ เมื่อซีรีส์ดราม่าการเมือง เรื่อง Tempest ของ Disney+ ที่มี จอนจีฮยอน นักแสดงหญิงชื่อดังของเกาหลีใต้เป็นนักแสดงนำ มีบทพูดที่สร้างความไม่พอใจให้กับชาวจีน โดยมีฉากหนึ่งใรซีรีส์ที่ตัวละครของเธอซึ่งเป็นนักการทูตพูดว่า “ทำไมจีนจึงเลือกทำสงคราม ระเบิดนิวเคลียร์อาจจะตกลงมาที่พรมแดนก็ได้” ซึ่งคำพูดนี้ ทำให้คนจีนจำนวนมากรู้สึกว่าเป็นคำพูดบิดเบือนและดูหมิ่นประเทศจีน เนื่องจากที่ผ่านมา จีนแสดงออกบนเวทีโลกอย่างชัดเจนว่า จีนไม่เคยเลือกการก่อสงคราม และจีนมุ่งมั่นสู่เส้นทางแห่งสันติภาพมาตลอด จนมีการแชร์คลิปฉากนี้ไปอย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านทั้งตัว จอนจีฮยอน ที่เป็นนักแสดง และกระแสต่อต้านอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีใต้ ซึ่งมีทั้งการเรียกร้องให้รัฐบาลจีนแบนอุตสาหกรรมบันเทิงจากเกาหลีใต้ทั้งหมด และการเรียกร้องให้ภาคธุรกิจ แบรนด์ต่าง ๆ ที่ใช้ จอนจีฮยอน เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ยกเลิกสัญญาทั้งหมดและถอดเธอออกจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไม่เช่นนั้น ผู้บริโภคชาวจีนก็จะแบนสินค้าแบรนด์นั้นตามไปด้วย
ที่ผ่านมา จอนจีฮยอน เป็นนักแสดงเกาหลีใต้ที่ค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบของชาวจีน แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ความรู้สึกที่ชาวจีนมีต่อเธอเปลี่ยนไปในทันที ก่อนหน้านี้ เคยเกิดเหตุการณ์ที่ผู้บริโภคชาวจีนพยายามกดดันแบรนด์ระดับโลกต่าง ๆ ที่พวกเขารู้สึกว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายดูหมิ่นชาวจีน จนทำให้แบรนด์ระดับโลกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เสื้อผ้า แบรนด์เครื่องสำอาง แบรนด์ร้านอาหาร ต้องระมัดระวังอย่างมากในการทำแคมเปญโฆษณา หรือแบรนด์การตลาดในประเทศจีน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการตีความจนอาจเกิดความเข้าใจผิดว่ามีเนื้อหาที่ดูหมิ่นคนจีน หรือเนื้อหาอะไรก็ตามที่อาจทำให้คนจีนรู้สึกไม่สบายใจ เพราะจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และการทำธุรกิจในประเทศจีนอย่างรุนแรง ซึ่งการที่จีนเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่จึงทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่สร้างความขุ่นเคืองใจกับผู้บริโภคชาวจีน
อย่างกรณีของ จอนจีฮยอน คนจีนมองว่าเธอเองก็เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของเกาหลีใต้ เธอย่อมมีสิทธิเลือกบทที่เธอจะพูดในฉากการแสดง และมีสิทธิที่จะปฏิเสธ ถ้าหากเธอรู้สึกว่าเป็นบทพูดที่ไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม พื้นฐานอุตสาหรรมบันเทิงของเกาหลีใต้มีความแตกต่างกับจีนค่อนข้างมาก โดยภาพยนตร์ และซีรีส์ของเกาหลีใต้ มีการเปิดกว้างให้ผู้กำกับสามารถเล่าเรื่องได้ค่อนข้างอิสระ ขณะที่อุตสาหกรรมบันเทิงของจีนมีการควบคุมเนื้อหาอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน อย่างเรื่องการเมืองและประวัติศาสตร์ แต่อุตสาหกรรมบันเทิงของจีนก็พัฒนาและเติบโตอย่างมาก ทาง PwC เคยคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมบันเทิงและสื่อของจีนจะเติบโตจนมีมูลค่าสูงถึง 479,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2027
- จีนพบหลักฐานดวงจันทร์มีแผ่นดินไหว สะท้อนว่ายังมีชีวิตทางธรณีวิทยา และอาจสะเทือนภารกิจสำรวจในอนาคต
- จีนปฏิวัติอุตสาหกรรมโลกครั้งที่ 4 ด้วย New-Quality Productive Forces (ตอน 2)
- จีนส่ง “หุ่นยนต์ AI” ตรวจสอบโครงข่ายไฟฟ้า ลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพ
- จีนติดท็อป 10 ดัชนีนวัตกรรมโลกครั้งแรก
- คาดจีนส่งออก"เหล็ก"ทำสถิติสูงสุดสวนทางภาษี
