ไต้ฝุ่น "คัลแมกี" ถล่มฟิลิปปินส์ เสียชีวิตแล้ว 46 คน

Share on Line Share on Facebook Share on X
ไต้ฝุ่น "คัลแมกี" ถล่มฟิลิปปินส์ เสียชีวิตแล้ว 46 คน

เจ้าหน้าที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่ายอดผู้เสียชีวิตจากพายุไต้ฝุ่นคัลแมกีพัดถล่ม เพิ่มขึ้นถึง 46 คน และผู้คนอีกนับแสนต้องอพยพ หลังจากฝนที่เกิดจากอิทธิพลของพายุลูกนี้ ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่กว้างของภาคกลางฟิลิปปินส์เมื่อวานนี้ โดยหลายเมืองบนเกาะเซบูถูกน้ำท่วมจมบาดาล ขณะที่ รถยนต์, รถบรรทุก และแม้แต่ตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ถูกกระแสน้ำปนโคลนพัดพาไป

เฉพาะในจังหวัดเซบู มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 21 คน ตามข้อมูลจากราฟาเอลิโต อาเลฆานโดร รองหัวหน้าหน่วยป้องกันภัยพลเรือน ซึ่งให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับเอเอฟพี ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการจมน้ำ

ในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนที่พายุคัลแมกีจะพัดขึ้นฝั่ง พื้นที่รอบเมืองเซบู ซิตี เมืองเอกของจังหวัดเซบู มีปริมาณน้ำฝนสะสมถึง 183 มิลลิเมตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายเดือนที่ 131 มิลลิเมตร

พาเมลา บาริกัวโทร ผู้ว่าราชการจังหวัดเซบู กล่าวในโพสต์บนเฟซบุ๊กวานนี้ว่า “สถานการณ์ในเซบูไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยจริง ๆ เราเคยคิดว่าลมจะเป็นส่วนที่อันตรายที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนของเราตกอยู่ในความเสี่ยงจริง ๆ คือ ‘น้ำ’ ต่างหาก น้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า พายุมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ มหาสมุทรที่อุ่นขึ้นทำให้พายุไต้ฝุ่นมีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว และบรรยากาศที่อบอุ่นกว่าสามารถกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดฝนตกหนักยิ่งกว่าเดิม

รอน รามอส เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลของจังหวัดเซบู ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับเอเอฟพีว่า ประชาชนหลายร้อยคนที่ยังคงอาศัยอยู่ใน “เมืองเต็นท์” หลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.9 ที่สั่นสะเทือนเกาะเมื่อปลายเดือนกันยายน ถูกบีบให้ต้อง “อพยพออกเพื่อความปลอดภัยของตนเอง โดยรวมแล้ว มีประชาชนเกือบ 400,000 คนที่ถูกอพยพล่วงหน้าออกจากเส้นทางของพายุ 

สรุปข่าว

พายุไต้ฝุ่น "คัลแมกี" พัดถล่มเกาะเซบู ภาคกลางของฟิลิปปินส์ ผู้เสียชีวิตพุ่งสูงถึง 46 คน และผู้คนอีกนับแสนต้องอพยพ ขณะที่ รถยนต์ รถบรรทุก และแม้แต่ตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ ถูกกระแสน้ำปนโคลนพัดพาไปจนกองทับกันระเนระนาด

เจ้าหน้าที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่ายอดผู้เสียชีวิตจากพายุไต้ฝุ่นคัลแมกีพัดถล่ม เพิ่มขึ้นถึง 46 คน และผู้คนอีกนับแสนต้องอพยพ หลังจากฝนที่เกิดจากอิทธิพลของพายุลูกนี้ ทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่กว้างของภาคกลางฟิลิปปินส์เมื่อวานนี้ โดยหลายเมืองบนเกาะเซบูถูกน้ำท่วมจมบาดาล ขณะที่ รถยนต์, รถบรรทุก และแม้แต่ตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ถูกกระแสน้ำปนโคลนพัดพาไป

เฉพาะในจังหวัดเซบู มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 21 คน ตามข้อมูลจากราฟาเอลิโต อาเลฆานโดร รองหัวหน้าหน่วยป้องกันภัยพลเรือน ซึ่งให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับเอเอฟพี ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากการจมน้ำ

ในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนที่พายุคัลแมกีจะพัดขึ้นฝั่ง พื้นที่รอบเมืองเซบู ซิตี เมืองเอกของจังหวัดเซบู มีปริมาณน้ำฝนสะสมถึง 183 มิลลิเมตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายเดือนที่ 131 มิลลิเมตร

พาเมลา บาริกัวโทร ผู้ว่าราชการจังหวัดเซบู กล่าวในโพสต์บนเฟซบุ๊กวานนี้ว่า “สถานการณ์ในเซบูไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยจริง ๆ เราเคยคิดว่าลมจะเป็นส่วนที่อันตรายที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนของเราตกอยู่ในความเสี่ยงจริง ๆ คือ ‘น้ำ’ ต่างหาก น้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า พายุมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ มหาสมุทรที่อุ่นขึ้นทำให้พายุไต้ฝุ่นมีกำลังแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว และบรรยากาศที่อบอุ่นกว่าสามารถกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดฝนตกหนักยิ่งกว่าเดิม

รอน รามอส เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลของจังหวัดเซบู ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับเอเอฟพีว่า ประชาชนหลายร้อยคนที่ยังคงอาศัยอยู่ใน “เมืองเต็นท์” หลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.9 ที่สั่นสะเทือนเกาะเมื่อปลายเดือนกันยายน ถูกบีบให้ต้อง “อพยพออกเพื่อความปลอดภัยของตนเอง โดยรวมแล้ว มีประชาชนเกือบ 400,000 คนที่ถูกอพยพล่วงหน้าออกจากเส้นทางของพายุ 

ช่วงบ่ายวันอังคาร กองทัพฟิลิปปินส์ยืนยันว่า เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศ ซึ่งมีลูกเรือ 5 นาย ถูกส่งออกไปช่วยภารกิจบรรเทาทุกข์ แต่ได้ตกลงบนเกาะมินดาเนา ทางตอนเหนือของประเทศ โดยเฮลิคอปเตอร์รุ่น “ซูเปอร์ ฮิวอี้” ลำดังกล่าวประสบอุบัติเหตุระหว่างบินไปยังเมืองชายฝั่งบูตูอัน “เพื่อสนับสนุนภารกิจบรรเทาผลกระทบจากพายุรุนแรง ตามแถลงการณ์ของกองบัญชาการมินดาเนาตะวันออก ซึ่งระบุเพิ่มเติมว่า กำลังมีการดำเนินการค้นหาและกู้ภัยอยู่ในพื้นที่

เจ้าหน้าที่ทหารยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตก รวมถึงสภาพของลูกเรือทั้ง 5 นาย หรือสาเหตุที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้

พายุไต้ฝุ่นคัลแมกี (Kalmaegi) กำลังเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกผ่านหมู่เกาะวิซายัน โดยมีความเร็วลมคงที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีลมกระโชกแรงสูงสุดถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ต้นไม้หักโค่นและสายไฟฟ้าขาดเป็นบริเวณกว้าง

ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับพายุและไต้ฝุ่นเฉลี่ยปีละประมาณ 20 ลูก ซึ่งมักพัดถล่มพื้นที่เสี่ยงภัยซ้ำซาก ที่มีประชาชนหลายล้านคนอาศัยอยู่ด้วยความยากจน

ฟิลิปปินส์เพิ่งถูกพายุใหญ่พัดถล่มถึงสองลูกในเดือนกันยายน รวมถึงซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนัก ฉีกหลังคาอาคารหลายแห่ง และคร่าชีวิตประชาชน 14 คนในไต้หวัน ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน

ที่มาข้อมูล : AFP

ที่มารูปภาพ : AFP