
สรุปข่าว
องค์การยูเนสโก (UNESCO) ระบุว่า 1 ใน 3 ของธารน้ำแข็งทั้งหมดประมาณ 18,600 แห่ง ที่อยู่ในแหล่งมรดกโลก จะหายไปภายในปี 2050 และถ้าหากยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงปี 2100 ธารน้ำแข็งเหล่านั้นจะหายไปประมาณครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 50 รวมถึงธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก อย่างเช่นธารน้ำแข็งโดโลมิติ หรือโดโลไมท์ในอิตาลี , ธารน้ำแข็งโยเซมิติและในอุทยานเยลโลว์สโตนในสหรัฐฯ รวมไปถึงธารน้ำแข็งบนเทือกเขาคิลิมันจาโรในแทนซาเนีย ซึ่งล้วนเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกที่มีชื่อเสียง ขณะนี้ธารน้ำแข็งที่อยู่ในแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก ละลายสูญเสียน้ำแข็งไปเฉลี่ย 58,000 ล้านตันในทุก ๆ ปี ซึ่งมีส่วนสร้างปัญหาระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเกือบร้อยละ 5 ทั่วโลก ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งปัญหาชายฝั่งถูกกัดเซาะ พายุก่อตัวง่ายและรุนแรงมากขึ้น รวมถึงทำให้แผ่นดินทรุดตัว และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศบริเวณชายฝั่ง ทั้งแนวปะการัง ป่าชายเลน รังเต่าตามแนวชายหาด อย่างไรก็ตาม องค์การยูเนสโก ระบุว่า “แต่ยังเป็นไปได้ที่พวกเราจะปกป้องธารน้ำแข็งที่เหลืออยู่อีก 2 ใน 3 โดยมีเงื่อนไข หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยวิธีที่จะรักษาธารน้ำแข็งทั่วโลกไม่ให้ละลายหายไป คือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่สร้างปัญหาโลกร้อนให้ได้มากที่สุดให้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว หลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงกรุงเทพของไทยก็อาจจะต้องจมน้ำเหมือนกับที่นักวิทยาศาสตร์ได้เตือนไว้
- โลกร้อนไม่ใช่ภัยเงียบ ธารน้ำแข็งทั่วโลกกำลังหายไป เข้าใกล้จุดวิกฤตอย่างไม่มีวันย้อนกลับ
- ธารน้ำแข็งเทือกเขาแอลป์ถล่ม สร้างความกังวลใหม่ เสี่ยงน้ำท่วมหมู่บ้านใกล้เคียง
- อิฐรีไซเคิลลดคาร์บอน นวัตกรรมสีเขียวสู้โลกร้อน ถึงแพงกว่าแต่คุ้มที่จะจ่าย
- ธารน้ำแข็งเทือกเขาแอลป์ พังถล่มทับหมู่บ้านในสวิตฯ
- โลกร้อนหยุดไม่อยู่! ทุกองศามีความหมาย
- เมื่อมหาสมุทรกำลังมืดลง สัญญาณเตือนวิกฤตใหม่ของโลก
- โลกร้อนเร็วเกินคาด! อุณหภูมิพุ่ง-น้ำทะเลสูง-ภัยพิบัติถี่ และกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand