
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ แห่งสหราชอาณาจักร ศึกษาและติดตามวัฏจักรสภาพภูมิอากาศโลกและเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงความลาดเอียง การโคจร และวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ พบว่ามีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนผ่านจากยุคน้ำแข็งไปสู่ยุคที่อบอุ่นขึ้น โดยผลการศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ Science เมื่อเร็ว ๆ นี้
ในช่วงระยะเวลาหลายล้านปีที่ผ่านมา โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จากยุคน้ำแข็งที่หนาวเย็นสู่ยุคที่สภาพาอากาศอบอุ่นขึ้น โดยยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นสิ้นสุดลงไปเมื่อช่วง 11,7000 ปีก่อนและการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นนำไปสู่ยุคโฮโลซีน ที่สภาพอากาศเกิดเสถียรภาพ สิ่งมีชิวิตเกิดวิวัฒนากรต่อเนื่อง และอารยธรรมของมนุษย์เจริญรุ่งเรือง
สรุปข่าว
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ แห่งสหราชอาณาจักร ศึกษาและติดตามวัฏจักรสภาพภูมิอากาศโลกและเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงความลาดเอียง การโคจร และวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ พบว่ามีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนผ่านจากยุคน้ำแข็งไปสู่ยุคที่อบอุ่นขึ้น โดยผลการศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ Science เมื่อเร็ว ๆ นี้
ในช่วงระยะเวลาหลายล้านปีที่ผ่านมา โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จากยุคน้ำแข็งที่หนาวเย็นสู่ยุคที่สภาพาอากาศอบอุ่นขึ้น โดยยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นสิ้นสุดลงไปเมื่อช่วง 11,7000 ปีก่อนและการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นนำไปสู่ยุคโฮโลซีน ที่สภาพอากาศเกิดเสถียรภาพ สิ่งมีชิวิตเกิดวิวัฒนากรต่อเนื่อง และอารยธรรมของมนุษย์เจริญรุ่งเรือง
สตีเฟน บาร์เกอร์ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ และทีมนักวิจัยได้ค้นพบว่า การเกิดยุคน้ำแข็งในช่วงระยะเวลา 900,000 ปีที่ผ่านมา จะมีความสัมพันธ์กันระหว่างการโคจร และรูปร่างวงโคจรของโลก เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติส่วนใหญ่สามารถคาดเดาได้ และหากไร้การแทรกแซงของมนุษย์ ยุคน้ำแข็งครั้งต่อไปอาจเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอีก 11,000 ปีข้างหน้า และจะสิ้นสุดลงในระยะเวลา 66,000 ปีข้างหน้า
แต่กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมหาศาลและส่งผลกระทบต่อโลกอย่างร้ายแรง ทั้งระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น สภาพอากาศแปรปรวนรุนแรง รวมไปถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่องจะยิ่งส่งผลต่อวัฏจักรสภาพอากาศโลก เป็นสาเหตุให้ยุคน้ำแข็งล่าช้าออกไปจากที่คาดการณ์ไว้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องดีหากโลกยังคงปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอัตรามหาศาลอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน “ทวีปแอนตาร์กติกา” หรือ “ขั้วโลกใต้” อาจไม่เหลือน้ำแข็งอีกเลยภายในระยะเวลา 8,000 ปี หรืออาจเร็วกว่านั้น ผลกระทบที่ตามมาก็คือระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 70 เมตร และเราทุกคนจะจมอยู่ใต้น้ำ
- โลกเจอคลื่นความร้อน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30 วันต่อปี จะมากกว่านี้หากไม่ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
- ธารน้ำแข็งเทือกเขาแอลป์ถล่ม สร้างความกังวลใหม่ เสี่ยงน้ำท่วมหมู่บ้านใกล้เคียง
- โลกจะร้อนทุบสถิติใน 5 ปี อุตุฯโลกชี้ภัยธรรมชาติเพิ่มแน่ ทั้งไฟป่า น้ำท่วม ภัยแล้งรุนแรง
- ปากีสถานร้อนจัด ประชาชนเสี่ยงขาดน้ำรุนแรง
- "มูลเพนกวิน" สร้างเมฆบังแดด ช่วยชะลอโลกร้อนที่แอนตาร์กติกา
- วิกฤตอากาศดึงเศรษฐกิจทรุด UN ชี้ต้องลดการปล่อยคาร์บอน เศรษฐกิจโลกถึงจะฟื้น!
- “กรีซ” เข้าสู่ฤดูไฟป่า ปีนี้อาจรุนแรงกว่าที่ผ่านมา เพราะภาวะโลกร้อน
TNNThailand