ซูเปอร์คลื่นความร้อนในทะเล ภัยเงียบที่กระหน่ำโลกใต้ผืนน้ำ

ซูเปอร์คลื่นความร้อนในทะเล  ภัยเงียบที่กระหน่ำโลกใต้ผืนน้ำ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกได้เผชิญกับคลื่นความร้อนในทะเล (marine heat waves) อย่างรุนแรงและต่อเนื่องในมหาสมุทรเกือบทุกแห่ง ซึ่งบางกรณีมีความรุนแรงถึงขนาดที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติคำใหม่ว่า “ซูเปอร์คลื่นความร้อนในทะเล” (super marine heat waves) เพื่อสะท้อนถึงระดับอุณหภูมิที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในระบบนิเวศทางทะเล

ตัวอย่างชัดเจน ได้แก่ พื้นที่นอกชายฝั่งของสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ ที่เผชิญกับคลื่นความร้อนในทะเลที่ยาวนานผิดปกติตั้งแต่เดือนเมษายน และอุณหภูมิก็พุ่งสูงเร็วกว่าปกติ ขณะเดียวกันแนวปะการังอันโด่งดังของออสเตรเลียก็เผชิญคลื่นความร้อนพร้อมกันถึงสองชายฝั่ง ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างหนักหน่วง

สรุปข่าว

คลื่นความร้อนในทะเลที่รุนแรงผิดปกติ หรือ “ซูเปอร์คลื่นความร้อนในทะเล” กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกเพราะโลกร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิทะเลสูงจนระบบนิเวศเสียหายหนัก ปะการังทั่วโลกถึง 84% เผชิญภาวะฟอกขาว และสัตว์ทะเลตายหมู่กำลังกลายเป็นเรื่องปกติ ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจากน้ำทะเลขยายตัว และพายุรุนแรงขึ้นเพราะทะเลอุ่น ทำให้โลกเผชิญความเสี่ยงมหาศาลในอนาคต

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกได้เผชิญกับคลื่นความร้อนในทะเล (marine heat waves) อย่างรุนแรงและต่อเนื่องในมหาสมุทรเกือบทุกแห่ง ซึ่งบางกรณีมีความรุนแรงถึงขนาดที่นักวิทยาศาสตร์ต้องบัญญัติคำใหม่ว่า “ซูเปอร์คลื่นความร้อนในทะเล” (super marine heat waves) เพื่อสะท้อนถึงระดับอุณหภูมิที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในระบบนิเวศทางทะเล

ตัวอย่างชัดเจน ได้แก่ พื้นที่นอกชายฝั่งของสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ ที่เผชิญกับคลื่นความร้อนในทะเลที่ยาวนานผิดปกติตั้งแต่เดือนเมษายน และอุณหภูมิก็พุ่งสูงเร็วกว่าปกติ ขณะเดียวกันแนวปะการังอันโด่งดังของออสเตรเลียก็เผชิญคลื่นความร้อนพร้อมกันถึงสองชายฝั่ง ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างหนักหน่วง

ภาวะโลกร้อนจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกทำให้มหาสมุทรดูดซับความร้อนส่วนเกิน ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำลายสมดุลของธรรมชาติใต้ทะเลอย่างลึกซึ้ง ปะการังทั่วโลกถึง 84% เผชิญกับความเครียดจากความร้อนระดับที่ก่อให้เกิดการฟอกขาวและตายลงระหว่างปี 2023 ถึงต้นปี 2025

นอกจากนี้ คลื่นความร้อนยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเพิ่มระดับน้ำทะเล โดยส่วนใหญ่มาจากการที่น้ำทะเลขยายตัวเมื่อร้อนขึ้น หรือที่เรียกว่า "thermal expansion" มากกว่าจากการละลายของธารน้ำแข็งตามที่เคยเชื่อกัน นอกจากนี้ ยังทำให้พายุหมุนเขตร้อนเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น เช่น ในปีที่ผ่านมา ที่มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้เผชิญกับพายุไซโคลนจำนวนมากที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

งานวิจัยล่าสุดของนักฟิสิกส์ Marta Marcos จากมหาวิทยาลัยในสเปนระบุว่า คลื่นความร้อนในทะเลส่วนใหญ่ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาล้วนมีต้นเหตุจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่นักอนุรักษ์ทางทะเลอย่าง Joaquim Garrabou ซึ่งเคยพบการตายหมู่ของฟองน้ำและปะการังในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตั้งแต่ปี 1999 กล่าวว่า “ความเป็นจริงกำลังเคลื่อนไหวเร็วเกินกว่าที่คาดไว้…การตายหมู่ของสิ่งมีชีวิตในทะเลกำลังกลายเป็นเรื่องปกติ แทนที่จะเป็นเหตุการณ์หายากดังเช่นในอดีต”

ปรากฏการณ์คลื่นความร้อนในทะเลกำลังเตือนมนุษยชาติว่า การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศไม่เพียงแค่เกิดบนผืนดิน แต่กำลังกระทบโลกใต้น้ำอย่างรุนแรง และหากไม่เร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในตอนนี้ ระบบนิเวศทางทะเลอันเปราะบางของเราก็อาจไม่สามารถฟื้นตัวได้ทันเวลา.


ที่มาข้อมูล : nytimes.com

ที่มารูปภาพ : Reuters