คลื่นความร้อนในอาร์กติก สัญญาณเตือนจากขั้วโลก

คลื่นความร้อนในอาร์กติก สัญญาณเตือนจากขั้วโลก

เมื่อพูดถึงภัยพิบัติจากโลกร้อน หลายคนอาจนึกถึงภาพอุณหภูมิพุ่งสูงในอินเดีย คลื่นความร้อนในยุโรปใต้ หรือไฟป่าในอเมริกา แต่แท้จริงแล้ว หนึ่งในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรงและรวดเร็วที่สุดคือ "อาร์กติก" พื้นที่ที่เคยถูกมองว่าอยู่ห่างไกลและปลอดภัยจากผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา งานวิจัยจากกลุ่ม World Weather Attribution เผยว่า คลื่นความร้อนในกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์มีอุณหภูมิสูงขึ้นจากปกติถึง 3 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ทั้งนี้ สถานีวัดอากาศในไอซ์แลนด์วัดได้สูงถึง 26.6°C ขณะที่กรีนแลนด์แตะ 14.3°C อุณหภูมิที่ไม่ควรเกิดขึ้นในพื้นที่แถบขั้วโลก

แม้การเปลี่ยนแปลงเพียงไม่กี่องศาอาจฟังดูเล็กน้อย แต่ผลกระทบกลับใหญ่โตเกินคาด อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้การละลายของแผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์พุ่งสูงถึง 17 เท่า จากระดับปกติ สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนพื้นเมือง เช่น ชาวอินูอิต ซึ่งอาศัยน้ำแข็งทะเลเป็นเส้นทางสัญจรและฐานล่าสัตว์แบบดั้งเดิมมานานหลายชั่วอายุคน


สรุปข่าว

คลื่นความร้อนในอาร์กติกที่รุนแรงผิดปกติในเดือนพฤษภาคม เกิดจากภาวะโลกร้อนที่มนุษย์สร้างขึ้น ทำให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นกว่า 3°C ผลกระทบคือการละลายของน้ำแข็งกรีนแลนด์ในระดับมหาศาล นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า หากไม่ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล วิกฤตภูมิอากาศจะลุกลามและส่งผลต่อโลกทั้งใบในอนาคต

เมื่อพูดถึงภัยพิบัติจากโลกร้อน หลายคนอาจนึกถึงภาพอุณหภูมิพุ่งสูงในอินเดีย คลื่นความร้อนในยุโรปใต้ หรือไฟป่าในอเมริกา แต่แท้จริงแล้ว หนึ่งในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรงและรวดเร็วที่สุดคือ "อาร์กติก" พื้นที่ที่เคยถูกมองว่าอยู่ห่างไกลและปลอดภัยจากผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา งานวิจัยจากกลุ่ม World Weather Attribution เผยว่า คลื่นความร้อนในกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์มีอุณหภูมิสูงขึ้นจากปกติถึง 3 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ทั้งนี้ สถานีวัดอากาศในไอซ์แลนด์วัดได้สูงถึง 26.6°C ขณะที่กรีนแลนด์แตะ 14.3°C อุณหภูมิที่ไม่ควรเกิดขึ้นในพื้นที่แถบขั้วโลก

แม้การเปลี่ยนแปลงเพียงไม่กี่องศาอาจฟังดูเล็กน้อย แต่ผลกระทบกลับใหญ่โตเกินคาด อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้การละลายของแผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์พุ่งสูงถึง 17 เท่า จากระดับปกติ สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อชุมชนพื้นเมือง เช่น ชาวอินูอิต ซึ่งอาศัยน้ำแข็งทะเลเป็นเส้นทางสัญจรและฐานล่าสัตว์แบบดั้งเดิมมานานหลายชั่วอายุคน


การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวกำลังท้าทายเสถียรภาพของวิถีชีวิตในอาร์กติกอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทั้งการลดลงของสุนัขลากเลื่อนที่เคยใช้กันมาเป็นพันปี ความเสี่ยงต่อผู้สูงอายุในไอซ์แลนด์ที่อาจไม่สามารถรับมือกับความร้อนได้ทัน และการเปลี่ยนแปลงทางสถิติของสภาพอากาศที่ทำให้ข้อมูลในอดีตไม่สามารถใช้พยากรณ์อนาคตได้อีกต่อไป

นอกจากนี้ ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแถบอาร์กติกเท่านั้น การละลายของน้ำแข็งในกรีนแลนด์ยังอาจเร่งให้กระแสน้ำอุ่นแอตแลนติก (AMOC) ชะลอตัวลง ซึ่งหากถึงจุดวิกฤต อาจทำให้ภูมิอากาศของยุโรปปั่นป่วน เกิดภาวะอากาศหนาวผิดปกติ และส่งผลสะเทือนต่อภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก

สิ่งสำคัญคือ เรารู้แน่ชัดแล้วว่าอะไรเป็นต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้ นั่นคือการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มนุษย์กระทำโดยตรง แม้ผลกระทบอาจดูใหญ่เกินควบคุม แต่หนทางในการหยุดยั้งยังคงมีอยู่ การลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล ลงทุนในพลังงานสะอาด และปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจให้ยั่งยืนคือหัวใจของการแก้ปัญหา

อาร์กติกอาจเป็นด่านหน้าของวิกฤตโลกร้อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นคือคำเตือนถึงโลกทั้งใบ ว่าไม่มีใครรอดพ้นจากผลของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง หากเรายังเพิกเฉยต่อคำเตือนเหล่านี้ วันหนึ่งมันอาจไม่ได้เพียงเปลี่ยนภูมิอากาศของขั้วโลก แต่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบของเราไปตลอดกาล

ที่มาข้อมูล : euronews.com

ที่มารูปภาพ : Reuters