16 ก.ย. “วันโอโซนโลก” โล่สำคัญพิทักษ์รังสียูวีให้โลก

16 ก.ย. “วันโอโซนโลก”  โล่สำคัญพิทักษ์รังสียูวีให้โลก

วันที่ 16 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันโอโซนโลก” (World Ozone Day) เพื่อรณรงค์ให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของชั้นโอโซน และร่วมมือกันลดการใช้สารเคมีที่ทำลายชั้นบรรยากาศของโลก วันสำคัญนี้มีที่มาจากการที่นานาประเทศได้ลงนามใน “พิธีสารมอนทรีออล” (Montreal Protocol) เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นโอโซน ตามกรอบของอนุสัญญาเวียนนา (Vienna Convention) “วันโอโซนโลก” จึงเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจว่า การปกป้องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เพียงหน้าที่ของรัฐบาลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นความร่วมมือของมนุษยชาติทั้งหมด

“โอโซน” (Ozone หรือ O₃) เป็นก๊าซที่ประกอบด้วยอะตอมของออกซิเจน 3 อะตอม เกิดขึ้นตามธรรมชาติในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ (Stratosphere) ที่ระดับความสูงประมาณ 15–35 กิโลเมตรเหนือพื้นผิวโลก ชั้นโอโซนนี้ทำหน้าที่สำคัญในการดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะรังสี UV-B และ UV-C ซึ่งเป็นรังสีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต

สรุปข่าว

วันที่ 16 กันยายนของทุกปี คือ “วันโอโซนโลก” วันที่ทั่วโลกพร้อมใจกันรำลึกถึงความสำคัญของชั้นโอโซน ซึ่งเป็นโล่ธรรมชาติที่ปกป้องสิ่งมีชีวิตจากรังสีอัลตราไวโอเลต วันนี้ไม่เพียงตอกย้ำถึงบทบาทของชั้นโอโซนต่อระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือระดับโลกในการลดและเลิกใช้สารเคมีที่ทำลายชั้นบรรยากาศ เพื่อฟื้นฟูโลกให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

วันที่ 16 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันโอโซนโลก” (World Ozone Day) เพื่อรณรงค์ให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของชั้นโอโซน และร่วมมือกันลดการใช้สารเคมีที่ทำลายชั้นบรรยากาศของโลก วันสำคัญนี้มีที่มาจากการที่นานาประเทศได้ลงนามใน “พิธีสารมอนทรีออล” (Montreal Protocol) เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นโอโซน ตามกรอบของอนุสัญญาเวียนนา (Vienna Convention) “วันโอโซนโลก” จึงเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจว่า การปกป้องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เพียงหน้าที่ของรัฐบาลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นความร่วมมือของมนุษยชาติทั้งหมด

“โอโซน” (Ozone หรือ O₃) เป็นก๊าซที่ประกอบด้วยอะตอมของออกซิเจน 3 อะตอม เกิดขึ้นตามธรรมชาติในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ (Stratosphere) ที่ระดับความสูงประมาณ 15–35 กิโลเมตรเหนือพื้นผิวโลก ชั้นโอโซนนี้ทำหน้าที่สำคัญในการดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ โดยเฉพาะรังสี UV-B และ UV-C ซึ่งเป็นรังสีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต

หากไม่มีชั้นโอโซน รังสี UV จะส่องลงสู่พื้นโลกมากขึ้น ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนัง ต้อกระจก ความผิดปกติทางพันธุกรรม และยังเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศทั้งบนบกและในทะเล โดยเฉพาะแพลงก์ตอนพืชที่เป็นฐานของห่วงโซ่อาหารในทะเล นอกจากนี้การแผ่รังสีที่รุนแรงยังกระทบต่อความสมดุลของสภาพภูมิอากาศโลก ทำให้เกิดปัญหาโลกร้อนและภัยพิบัติที่รุนแรงมากขึ้นตามมา

สารทำลายชั้นโอโซน (Ozone Depleting Substances: ODS) ส่วนใหญ่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ที่มนุษย์ผลิตขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม เช่น

    คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs): ใช้ในเครื่องทำความเย็น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โฟม และสเปรย์

    ฮาลอน (Halons): ใช้ในเครื่องดับเพลิง

    คาร์บอนเตตระคลอไรด์ (CCl₄): ใช้เป็นตัวทำละลายในห้องปฏิบัติการและอุตสาหกรรมผลิตยา

    เมทิลคลอโรฟอร์ม (CH₃CCl₃): ใช้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมการผลิต

สารเหล่านี้เมื่อถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ จะลอยขึ้นไปยังชั้นสตราโตสเฟียร์ และเมื่อได้รับพลังงานจากรังสีอัลตราไวโอเลต จะแตกตัวปล่อยอะตอมคลอรีนหรือโบรมีนออกมา ซึ่งอะตอมเหล่านี้สามารถทำปฏิกิริยาทำลายโมเลกุลของโอโซนได้อย่างต่อเนื่อง โดยอะตอมคลอรีนเพียงหนึ่งอะตอมสามารถทำลายโมเลกุลของโอโซนได้มากกว่าหมื่นโมเลกุล

หลังจากนักวิทยาศาสตร์ค้นพบ “รูโหว่โอโซน” เหนือทวีปแอนตาร์กติกาในช่วงทศวรรษ 1980 ความตระหนักถึงอันตรายของการสูญเสียชั้นโอโซนได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้นานาประเทศกว่า 190 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วมลงนามในพิธีสารมอนทรีออลในปี 2530 เพื่อร่วมมือกันลดและเลิกใช้สาร ODS อย่างจริงจัง

ความสำเร็จของพิธีสารมอนทรีออลถือเป็นแบบอย่างที่ชัดเจนของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดับโลก เพราะสามารถลดปริมาณการปล่อยสารทำลายโอโซนลงได้อย่างมาก และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ชั้นโอโซนกำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยคาดการณ์ว่าหากประเทศต่าง ๆ ยังคงปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง ชั้นโอโซนจะกลับสู่ระดับปกติได้ภายในปี ค.ศ. 2070

แม้การจัดการในระดับนโยบายและอุตสาหกรรมจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่บุคคลทั่วไปก็สามารถมีส่วนร่วมในการปกป้องชั้นโอโซนได้ด้วยพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “ไม่ทำลายโอโซน” (Ozone-Friendly) ดูแลและบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นเพื่อลดการรั่วไหลของสารทำความเย็น ลดการใช้พลังงานฟอสซิลที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงสนับสนุนกฎหมายและนโยบายสิ่งแวดล้อมของภาครัฐ และส่งเสริมกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติในชุมชน

ดังนั้น “วันโอโซนโลก” จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการตอกย้ำว่าชั้นโอโซนคือ “โล่ธรรมชาติ” ที่ปกป้องสิ่งมีชีวิตบนโลกจากอันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลต และเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จในการร่วมมือของประชาคมโลกเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ความสำเร็จของพิธีสารมอนทรีออลพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อมนุษย์ร่วมมือกันอย่างจริงจัง เราสามารถฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนให้แก่โลกใบนี้ได้