วิกฤตโลกร้อนรุนแรง “ทะเลแคสเปียน” กำลังหายไป หลายล้านชีวิตเสี่ยงสูญสลาย

วิกฤตโลกร้อนรุนแรง  “ทะเลแคสเปียน” กำลังหายไป  หลายล้านชีวิตเสี่ยงสูญสลาย

ทะเลแคสเปียน (Caspian Sea) คือทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปและเอเชียกลาง โอบล้อมด้วยห้าประเทศ ได้แก่ อาเซอร์ไบจาน อิหร่าน คาซัคสถาน รัสเซีย และเติร์กเมนิสถาน พื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงเป็นถิ่นที่อยู่อันอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำและนกอพยพ แต่ยังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจด้านการประมง การขนส่ง การผลิตน้ำมันและก๊าซ อีกทั้งยังมีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ในปัจจุบัน ทะเลแคสเปียนกำลังเผชิญวิกฤติรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำที่ลดลงอย่างรวดเร็วได้เปลี่ยนชายฝั่งอุดมสมบูรณ์ให้กลายเป็นผืนดินแห้งแล้ง

ในอดีต ทะเลแคสเปียนเป็นแหล่งชีวิตที่หลากหลาย มีฟลามิงโก ปลาสเตอร์เจียน และแมวน้ำแคสเปียนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำทางตอนเหนือเคยเป็นแหล่งวางไข่ของปลาและจุดพักของนกนานาพันธุ์ แต่วันนี้หลายพื้นที่ได้แห้งผากจนกลายเป็นทะเลทราย ระดับน้ำที่ถอยร่นบางแห่งไกลออกไปกว่า 50 กิโลเมตร ทำให้ท่าเรือประมงถูกทิ้งร้างและชุมชนชายฝั่งต้องเผชิญความเสี่ยงต่อการดำรงชีวิต

สรุปข่าว

“ทะเลแคสเปียน” กำลังเผชิญวิกฤติจากภาวะโลกร้อน ระดับน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ระบบนิเวศและชุมชนชายฝั่งได้รับผลกระทบรุนแรง สิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นอย่างแมวน้ำและปลาสเตอร์เจียนกำลังสูญเสียถิ่นอาศัย ขณะที่ท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานถูกทิ้งร้าง กรณีนี้สะท้อนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่เพียงคุกคามธรรมชาติ แต่ยังท้าทายความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมทั้งภูมิภาค

ทะเลแคสเปียน (Caspian Sea) คือทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปและเอเชียกลาง โอบล้อมด้วยห้าประเทศ ได้แก่ อาเซอร์ไบจาน อิหร่าน คาซัคสถาน รัสเซีย และเติร์กเมนิสถาน พื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงเป็นถิ่นที่อยู่อันอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำและนกอพยพ แต่ยังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจด้านการประมง การขนส่ง การผลิตน้ำมันและก๊าซ อีกทั้งยังมีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ในปัจจุบัน ทะเลแคสเปียนกำลังเผชิญวิกฤติรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำที่ลดลงอย่างรวดเร็วได้เปลี่ยนชายฝั่งอุดมสมบูรณ์ให้กลายเป็นผืนดินแห้งแล้ง

ในอดีต ทะเลแคสเปียนเป็นแหล่งชีวิตที่หลากหลาย มีฟลามิงโก ปลาสเตอร์เจียน และแมวน้ำแคสเปียนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำทางตอนเหนือเคยเป็นแหล่งวางไข่ของปลาและจุดพักของนกนานาพันธุ์ แต่วันนี้หลายพื้นที่ได้แห้งผากจนกลายเป็นทะเลทราย ระดับน้ำที่ถอยร่นบางแห่งไกลออกไปกว่า 50 กิโลเมตร ทำให้ท่าเรือประมงถูกทิ้งร้างและชุมชนชายฝั่งต้องเผชิญความเสี่ยงต่อการดำรงชีวิต

ข้อมูลวิทยาศาสตร์ระบุว่า ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 ระดับน้ำทะเลแคสเปียนลดลงเฉลี่ยปีละ 6 เซนติเมตร และตั้งแต่ปี 2020 บางปีลดลงถึง 30 เซนติเมตร ซึ่งเป็นการลดลงในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ปัจจัยหลักมาจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้ปริมาณน้ำฝนและน้ำจากแม่น้ำเข้าสู่ทะเลลดลง ขณะที่อัตราการระเหยกลับสูงขึ้น หากโลกยังคงร้อนขึ้นตามแนวโน้มปัจจุบัน ระดับน้ำทะเลอาจลดลงถึง 18 เมตร เทียบเท่าความสูงของอาคาร 6 ชั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพื้นที่ตื้นทางตอนเหนือที่มีความลึกเฉลี่ยเพียง 5 เมตร

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือระบบนิเวศกำลังล่มสลาย ราว 40% ของระบบนิเวศเฉพาะถิ่นอาจสูญหายไป แมวน้ำแคสเปียนซึ่งใกล้สูญพันธุ์อาจสูญเสียพื้นที่เพาะพันธุ์ถึง 81% ส่วนปลาสเตอร์เจียนจะถูกตัดขาดจากพื้นที่วางไข่ที่สำคัญ นอกจากนี้ พื้นดินที่แห้งขอดยังเสี่ยงปล่อยฝุ่นพิษสู่ชุมชนเช่นเดียวกับหายนะในทะเลอารัล (Aral Sea) ที่เคยหดหายไปจนแทบหมด

ผลกระทบไม่เพียงจำกัดอยู่ที่ธรรมชาติ แต่ยังท้าทายมนุษย์และเศรษฐกิจ ชุมชนหลายล้านคนเสี่ยงต้องอพยพ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลง ระบบขนส่งทางน้ำที่เชื่อมทะเลแคสเปียนกับทะเลอื่น ๆ ผ่านแม่น้ำโวลกาก็กำลังเผชิญวิกฤติจากระดับน้ำตื้นลง ขณะที่เมืองท่าและบริษัทน้ำมันต้องทุ่มงบมหาศาลในการขุดร่องน้ำใหม่เพื่อให้สามารถเดินเรือได้


แม้ว่ารัฐบาลรอบทะเลแคสเปียนพยายามปรับตัว เช่น การย้ายท่าเรือหรือการสร้างเส้นทางเดินเรือใหม่ แต่ก็เสี่ยงกระทบต่อระบบนิเวศ เช่น แผนการขุดร่องน้ำผ่านพื้นที่สำคัญที่เป็นแหล่งผสมพันธุ์และอาศัยของแมวน้ำ การอนุรักษ์จึงยิ่งยากขึ้นในภาวะที่สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่าโครงสร้างการปกป้องแบบเดิม

ทะเลแคสเปียนคือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และผู้คนหลายล้านชีวิต หากไม่เร่งดำเนินการอย่างเป็นระบบและร่วมมือกันอย่างจริงจัง ภูมิภาคนี้อาจต้องเผชิญหายนะเช่นเดียวกับทะเลอารัลในอดีต ชะตากรรมของทะเลแคสเปียนจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้โลกเห็นว่า การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศคือภารกิจเร่งด่วนที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันเพื่อปกป้องทั้งธรรมชาติและมนุษยชาติในอนาคต

ที่มาข้อมูล : theconversation.com

ที่มารูปภาพ : Reuters