
งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เผยแพร่ในวารสาร Communications Earth & Environment ระบุว่า การตัดไม้ทำลายป่า หรือการเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ในบริเวณพื้นที่รับน้ำ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมใหญ่มากขึ้นถึง 8 เท่า เมื่อเทียบกับพื้นที่ที่มีป่าไม้ตามปกติ
ทีมวิจัยนำข้อมูลน้ำท่วมย้อนหลังในช่วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยเผชิญกับไฟป่าขนาดใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย และวิเคราะห์จากปีที่มีสภาพภูมิอากาศใกล้เคียงกันโดยที่ไม่มีอิทธิพลจากปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาเข้ามาเกี่ยวข้อง พบว่าการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้มีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับความถี่ของการเกิดน้ำท่วมรุนแรง
สรุปข่าว
งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เผยแพร่ในวารสาร Communications Earth & Environment ระบุว่า การตัดไม้ทำลายป่า หรือการเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ในบริเวณพื้นที่รับน้ำ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมใหญ่มากขึ้นถึง 8 เท่า เมื่อเทียบกับพื้นที่ที่มีป่าไม้ตามปกติ
ทีมวิจัยนำข้อมูลน้ำท่วมย้อนหลังในช่วงระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยเผชิญกับไฟป่าขนาดใหญ่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย และวิเคราะห์จากปีที่มีสภาพภูมิอากาศใกล้เคียงกันโดยที่ไม่มีอิทธิพลจากปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาเข้ามาเกี่ยวข้อง พบว่าการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้มีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับความถี่ของการเกิดน้ำท่วมรุนแรง
โดยปกติแล้วพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่อาจเกิดขึ้นเฉลี่ย 1 ครั้งในรอบ 64 ปี แต่เมื่อป่าถูกทำลายทั้งจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือเผชิญกับไฟป่าที่รุนแรง จะเพิ่มความถี่ของการเกิดน้ำท่วมขึ้นเป็น 1 ครั้งในรอบ 8 ปี นักวิจัยระบุว่า ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าป่าช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดน้ำท่วมได้ โดยเฉพาะปีที่เกิดไฟป่ารุนแรงก่อนถึงฤดูฝน จะเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมมากที่สุด
งานวิจัยนี้อธิบายถึงความเชื่อมโยงของกลไกทางธรรมชาติที่ทำให้ป่าสามารถลดความรุนแรงต่อการเกิดน้ำท่วมได้ โดยกิ่งไม้และใบไม้จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันชั้นแรกที่ช่วยบดบังน้ำฝนและกระจายน้ำฝนให้ตกช้าลง หรือตกลงดินในพื้นที่ที่กว้างขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยให้น้ำฝนค่อยๆ ซึมลงในชั้นดิน ขณะที่เศษใบไม้และอินทรียวัตถุอื่นๆ ที่ปกคลุมพื้นดินจะชะลอน้ำฝน และลดความเร็วการไหลบ่าของน้ำลง
เมื่อป่าถูกทำลายจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือการเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ ต้นไม้และใบไม้ที่เคยทำหน้าที่ปกป้องผิวดินหายไป ทำให้น้ำฝนชุ่มดินและอิ่มน้ำเร็วขึ้น น้ำฝนส่วนเกินที่ซึมลงดินไม่ทันจะกลายเป็นน้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมได้ง่าย นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์จากภาวะดินอุ้มน้ำมากเกินไป และไม่มีรากของต้นไม้คอยช่วยยึดเหนี่ยวหน้าดินเอาไว้อีกด้วย
ในช่วงระยะที่ผ่านมาทั่วโลกเผชิญกับภัยพิบัติและมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต ซึ่งเป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อน ข้อมูลงานวิจัยนี้จึงเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้รู้ว่า เมื่อป่าหายไป ไม่ใช่เพียงแค่การสูญเสียทางธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภัยพิบัติ ซึ่งส่งผลต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนทั่วโลกมากขึ้นเช่นกัน
- “แม่น้ำยม” ล้นตลิ่ง ทะลักท่วมบ้านสูง 1-2 เมตร ชาวบ้านหวั่นน้ำสูงขึ้น วอนรัฐช่วยเหลือ
- โลกนี้อยู่ยาก ภัยพิบัติมากเกินไป ต้นเหตุหลักมาจากภาวะโลกร้อน
- มหาสมุทรอุ่นเร็วขึ้น คุกคามทะเลนิวซีแลนด์ โลกร้อนเปลี่ยนอนาคตของประเทศ
- นกทั่วโลกหายไปกว่าครึ่ง เมืองขยาย ป่าหาย โลกป่วย สัญญาณเตือนวิกฤตสัตว์สูญพันธุ์
- น้ำท่วมขยายวงกว้าง “อยุธยา” จมเพิ่ม 1 อำเภอ บางจุดท่วมนาน 3-4 เดือน
ที่มาข้อมูล : Phys.org, University of New South Wales
ที่มารูปภาพ : Envato
