“ชัชชาติ” มั่นใจกทม.เอาอยู่ น้ำเหนือ–น้ำหนุนปีนี้ไม่น่ากังวล เผยผ่าน “จุดสูงสุด” ไปแล้ว

Share on Line Share on Facebook Share on X
“ชัชชาติ” มั่นใจกทม.เอาอยู่ น้ำเหนือ–น้ำหนุนปีนี้ไม่น่ากังวล เผยผ่าน “จุดสูงสุด” ไปแล้ว

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงถึงความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำเหนือและน้ำหนุนในส่วนของกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้บริหารสำนักการระบายน้ำ ร่วมให้ข้อมูล ณ ท่าเรือสะพานพุทธ เขตพระนคร


ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สถานการณ์น้ำหนุนในช่วงเดือนนี้ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เนื่องจากได้ผ่านวันที่มีน้ำหนุนสูงสุดคือ 8 พ.ย.68 ไปแล้ว ซึ่งจะมีน้ำหนุนขึ้นสูงสุดอีกครั้งในวันที่ 20 ธ.ค.68 แต่ไม่สูงมาก ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำเหนือที่น่าจะบรรเทาลง ประกอบกับถ้าไม่มีพายุลูกใหม่เข้ามาสถานการณ์ก็จะคลี่คลายขึ้น รวมถึงที่ผ่านมา กทม.มีการปรับปรุงโครงสร้างประตูระบายน้ำที่เคยมีปัญหาในปี 54 ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น จึงทำให้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ จึงไม่น่าเกิดขึ้นแบบปี 54 


ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวต่อไปว่า ที่น่าเป็นห่วงคือชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ 11 ชุมชน ประมาณ 300 หลังคาเรือน โดย กทม.เข้าไปดำเนินการสร้างสะพานไม้และแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แล้ว ส่วนเรื่องแนวกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วมล้ม ซึ่งเกิดจากปัญหาเรือแล่นเร็วทำให้เกิดคลื่นสูงมากระแทกแนวกระสอบทรายล้ม ได้ประสานงานกับกรมเจ้าท่า จัดเจ้าหน้าที่ประจำตามจุดสำคัญ เพื่อคอยปรามผู้ที่ขับเรือเร็วทำให้เกิดคลื่นสูง นอกจากนี้ขอส่งกําลังใจให้พี่น้องประชาชนต่างจังหวัดที่ไม่มีแนวคันกั้นน้ำ ทำให้ต้องได้รับผลกระทบจากน้ำเหนือที่ปล่อยจากเขื่อน อาจทำให้น้ำเข้าไปท่วมในทุ่งหรือบ้านเรือน 

สรุปข่าว

กรุงเทพมหานครยืนยัน “น้ำเหนือ–น้ำหนุน” ปีนี้ไม่น่ากังวล หลังผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เผย กทม.เตรียมพร้อมทุกด้าน ทั้งเขื่อนกั้นน้ำ 80 กม. สถานีสูบน้ำกว่า 200 แห่ง และระบบเฝ้าระวังเรียลไทม์ตลอด 24 ชม. ขณะที่ “น้ำเหนือ” จากเขื่อนเจ้าพระยายังอยู่ในระดับปลอดภัย ย้ำสถานการณ์ต่างจากปี 2554 แน่นอน เผยห่วง 11 ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ ประมาณ 300 หลังคาเรือน เร่งดูแลและเตรียมแผนช่วยเหลือเต็มที่

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงถึงความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำเหนือและน้ำหนุนในส่วนของกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้บริหารสำนักการระบายน้ำ ร่วมให้ข้อมูล ณ ท่าเรือสะพานพุทธ เขตพระนคร


ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สถานการณ์น้ำหนุนในช่วงเดือนนี้ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เนื่องจากได้ผ่านวันที่มีน้ำหนุนสูงสุดคือ 8 พ.ย.68 ไปแล้ว ซึ่งจะมีน้ำหนุนขึ้นสูงสุดอีกครั้งในวันที่ 20 ธ.ค.68 แต่ไม่สูงมาก ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำเหนือที่น่าจะบรรเทาลง ประกอบกับถ้าไม่มีพายุลูกใหม่เข้ามาสถานการณ์ก็จะคลี่คลายขึ้น รวมถึงที่ผ่านมา กทม.มีการปรับปรุงโครงสร้างประตูระบายน้ำที่เคยมีปัญหาในปี 54 ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น จึงทำให้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ จึงไม่น่าเกิดขึ้นแบบปี 54 


ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวต่อไปว่า ที่น่าเป็นห่วงคือชุมชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำ 11 ชุมชน ประมาณ 300 หลังคาเรือน โดย กทม.เข้าไปดำเนินการสร้างสะพานไม้และแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แล้ว ส่วนเรื่องแนวกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วมล้ม ซึ่งเกิดจากปัญหาเรือแล่นเร็วทำให้เกิดคลื่นสูงมากระแทกแนวกระสอบทรายล้ม ได้ประสานงานกับกรมเจ้าท่า จัดเจ้าหน้าที่ประจำตามจุดสำคัญ เพื่อคอยปรามผู้ที่ขับเรือเร็วทำให้เกิดคลื่นสูง นอกจากนี้ขอส่งกําลังใจให้พี่น้องประชาชนต่างจังหวัดที่ไม่มีแนวคันกั้นน้ำ ทำให้ต้องได้รับผลกระทบจากน้ำเหนือที่ปล่อยจากเขื่อน อาจทำให้น้ำเข้าไปท่วมในทุ่งหรือบ้านเรือน 

ด้านรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเสริมว่า กทม. สร้างแนวเขื่อนป้องกันน้ำริมเจ้าพระยาไล่ระดับความสูงมาจากทางเหนือ เช่น พื้นที่ติดนนทบุรีจะมีเขื่อนกั้นน้ำสูงกว่า 3.5 เมตร ขณะนี้ที่เราอยู่กันที่สะพานพุทธฯ ปากคลองตลาด จะเห็นว่ามีแนวเขื่อนป้องกันน้ำริมเจ้าพระยาสูงประมาณ 3 เมตร ซึ่งน้ำเหมือนจะปริ่มล้นแนวเขื่อนกั้นน้ำ แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับเขื่อนกั้นน้ำอีกมากกว่า 80 ซม. ซึ่งกทม.เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา จึงขอให้ประชาชนอุ่นใจไม่ต้องกังวล

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวในช่วงท้ายว่า สำหรับที่ประชาชนเห็นภาพน้ำล้นเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยาจากสื่อโซเชียลต่างๆ เกิดจาก 3 สาเหตุ คือ 


1. พื้นที่ฟันหลอของเขื่อนป้องกันน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา  

3 ปีที่ผ่านมามีพื้นที่ฟันหลอ 32 จุด ประมาณ 4 กม. ซึ่ง กทม.ดำเนินการแก้ไขไปแล้ว 22 จุด ประมาณ 2.6 กม. จึงเหลือพื้นที่ฟันหลออีกแค่ 10 จุดเท่านั้นที่เป็นพื้นที่เอกชน กทม.ต้องขออนุญาตก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำจึงจะสามารถดำเนินการได้ 


2. ยังมีช่องเปิดต่างๆ 

บริเวณท่าเรือ ซึ่งเป็นที่สัญจรของประชาชนไม่สามารถสร้างเขื่อนกั้นน้ำปิดเส้นทางได้ กทม.จึงต้องใช้กระสอบทรายในการวางแนวกั้นน้ำแก้ไขปัญหา หากน้ำรั่วซึมเข้าไปก็สูบน้ำออกมา ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้กําชับให้ตรวจสอบแนวกระสอบทรายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้มีการรั่วซึม 


3. พื้นที่แนวเขื่อนป้องกันน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยามีการรั่วซึม

จากปี 65 พบประมาณ 120 จุด กทม. ได้ดำเนินการแก้ไขแล้วจนเหลือ 76 จุด ประมาณ 8 กม. ทำให้เกิดการรั่วซึมเป็นภาพน้ำท่วมที่เห็นกัน หากประชาชนพบปัญหาน้ำท่วม ท่อตัน ฝาท่อชำรุด น้ำเน่าเสีย สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์ควบคุมระบบป้องกันน้ำท่วม สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร โทร. 02 248 5115 หรือ สายด่วน กทม. โทร.1555 หรือ แจ้งได้ที่ Traffy Fondue 

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา ปัจจุบันประเทศไทยมีฝนลดลง เนื่องจากลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคกลางตอนล่างมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังอ่อนปกคลุมภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นในตอนเช้าบางพื้นที่ และทำให้ปริมาณฝนในกรุงเทพมหานครลดลง และมวลอากาศเย็นจะมีกำลังแรงขึ้นในช่วง วันที่ 14-15 พ.ย. นี้เป็นต้นไป ทำให้ฝนไปตกบริเวณภาคใต้ ประกอบกับพายุโซนร้อนกำลังแรง “ฟงวอง”(FUNG-WONG) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มจะเคลื่อนขึ้นไปทางทิศเหนือ เข้าใกล้บริเวณเกาะไต้หวัน ในช่วงวันที่ 12-13 พ.ย. 68 โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย


จากข้อมูลของสำนักการระบายน้ำ ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 10 พฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ 1,750.5 มิลลิเมตร สูงกว่าค่าเฉลี่ยเพียงร้อยละ 6.6 ประกอบกับสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง ข้อมูลจากกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ระบุว่าเดือนพฤศจิกายน น้ำทะเลหนุนสูงสุดที่บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ (เขตบางกอกน้อย) ในวันที่ 9 พ.ย.68 ฐานน้ำทะเล ระดับ +1.36 ม.รทก. ระดับน้ำคาดหมาย +2.11 ม.รทก. ซึ่งกรุงเทพเทพมหานคร ตรวจวัดระดับน้ำจุดวัดปากคลองตลาด มีระดับ +2.25 ม.รทก. ซึ่งต่ำกว่าแนวเขื่อนป้องกันน้ำท่วมกว่า 75 เซนติเมตร ต่อจากนี้ระดับน้ำทะเลหนุนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง


ขณะเดียวกัน กรมชลประทานรายงานว่า ปริมาณการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งอยู่ในระดับที่แม่น้ำเจ้าพระยาสามารถรับได้อย่างปลอดภัย บริเวณจุดวัดสามโคก จังหวัดปทุมธานี พบว่ามีอัตราการไหลเฉลี่ย 2,400–2,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จากศักยภาพการรับน้ำสูงสุดที่ 3,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แสดงให้เห็นว่าระดับน้ำยังต่ำกว่าความจุสูงสุดมาก และไม่มีแนวโน้มที่น้ำเหนือจะท่วมเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการไม่ประมาทขอให้ประชาชนเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อวันที่ 11 พ.ย.ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จุดวัดปากคลองตลาด ระดับ +2.12 ม.รทก. ยังต่ำกว่าแนวเขื่อนป้องกันน้ำท่วมกว่า 88 เซนติเมตร 


สำหรับกรุงเทพมหานครได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำทุกด้าน โดยสำนักการระบายน้ำได้ดำเนินมาตรการเชิงรุก อาทิ

  • ลดระดับน้ำในคลองกว่า 1,980 คลอง และแก้มลิง 33 แห่ง ให้พร้อมรับน้ำฝน
  • ตรวจสอบความมั่นคงของแนวเขื่อนป้องกันน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมระยะทางกว่า 80 กิโลเมตร
  • เฝ้าระวังจุดเสี่ยง แนวฟันหลอ 32 จุด (ซ่อมแล้วเสร็จ 22 จุด ที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการและของบประมาณเพิ่มเติม)
  • แก้ไขแนวรั่วซึมและช่องเปิดท่าเรือ เช่น ท่าราชวรดิษฐ์ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร และแนวถนนพระราม 3 ซึ่งได้ดำเนินการอุดรอยรั่วและเสริมแนวกระสอบทรายเพิ่มเติมแล้ว
  • นอกจากนี้ ยังได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ประจำสถานีสูบน้ำ 200 แห่ง และบ่อสูบน้ำ 349 แห่ง รวมถึงเครื่องสูบน้ำกว่า 1,581 เครื่อง เพื่อเร่งระบายน้ำในจุดเสี่ยง พร้อมเครือข่ายโทรมาตรตรวจวัดระดับน้ำแบบเรียลไทม์ และเรดาร์ตรวจอากาศ 2 แห่ง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง


สำหรับพื้นที่ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ ปัจจุบันมีจำนวน 11 ชุมชน 320 หลังคาเรือน ครอบคลุม 6 เขต ได้แก่ ดุสิต พระนคร บางคอแหลม ยานนาวา บางกอกน้อย และคลองสาน ซึ่งกรุงเทพมหานครได้จัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ติดตามระดับน้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดจุดอพยพชั่วคราว เครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ และแนวทางช่วยเหลือเบื้องต้นในกรณีที่น้ำเอ่อล้นเข้าพื้นที่ พร้อมประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน รวมทั้งจัดโครงการฟื้นฟูชุมชนหลังน้ำลด เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติอย่างรวดเร็ว

 

ที่มาข้อมูล : กรุงเทพมหานคร

ที่มารูปภาพ : กรุงเทพมหานคร

แท็กบทความ