ฝนถล่ม “หาดใหญ่” “หนักสุดในรอบ 300 ปี” หมายความว่าอย่างไร ?

Share on Line Share on Facebook Share on X
ฝนถล่ม “หาดใหญ่”  “หนักสุดในรอบ 300 ปี”  หมายความว่าอย่างไร ?

กรมชลประทาน ระบุว่า สาเหตุน้ำท่วมหนักในภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. 68 มาจากร่องมรสุมและหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมภาคใต้ตอนล่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดฝนตกหนักมากในหลายพื้นที่ โดยปริมาณฝนสะสมเฉพาะ 24 ชั่วโมงบางจุดสูงกว่า 300–500 มิลลิเมตร ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมรวม 10 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สตูล สงขลา พัทลุง ตรัง นราธิวาส ปัตตานี และยะลา

 

โดยกรมชลประทานระบุว่าปริมาณฝนที่หาดใหญ่ “หนักสุดในรอบ 300 ปี” ทำให้เกิดข้อสงสัยในโลกออนไลน์ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน ชี้แจงว่า คำนี้เป็น “คำอธิบายทางสถิติอุทกวิทยา” หมายถึงเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้น ประมาณ 1 ครั้งใน 300 ปี หรือมีความน่าจะเป็นเพียง 0.33% ต่อปี ไม่ได้หมายถึงว่ามีข้อมูลจริงจาก 300 ปีก่อน แต่สะท้อนว่าปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ครั้งนี้อยู่ในระดับรุนแรงและผิดปกติมากกว่าค่าเฉลี่ยหลายเท่าตัว หมายความว่า ทุกปี จะมี “ความน่าจะเป็น” ที่สามารถเกิดฝนตกหนักเช่นนี้ อยู่ที่ร้อยละ 0.33 นั่นเอง

สรุปข่าว

หาดใหญ่เจอ “ฝนหนักสุดในรอบ 300 ปี” ไม่ได้แปลว่า 300 ปีก่อนเคยตกแบบนี้ แต่เป็น คำทางสถิติอุทกวิทยา หมายถึงฝนที่มี โอกาสเกิดน้อยมาก เฉลี่ย 1 ครั้งใน 300 ปี หรือความน่าจะเป็นเพียง 0.33% ต่อปี จึงใช้เรียกเหตุการณ์ฝนที่ หนักผิดปกติ รุนแรงกว่าค่าเฉลี่ยหลายเท่า เพื่อบอกว่าครั้งนี้คือเหตุการณ์ที่หายากและรุนแรงเป็นพิเศษ ไม่ได้หมายถึงการนับย้อนหลังตามประวัติศาสตร์จริงๆ

กรมชลประทาน ระบุว่า สาเหตุน้ำท่วมหนักในภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. 68 มาจากร่องมรสุมและหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมภาคใต้ตอนล่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดฝนตกหนักมากในหลายพื้นที่ โดยปริมาณฝนสะสมเฉพาะ 24 ชั่วโมงบางจุดสูงกว่า 300–500 มิลลิเมตร ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมรวม 10 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สตูล สงขลา พัทลุง ตรัง นราธิวาส ปัตตานี และยะลา

 

โดยกรมชลประทานระบุว่าปริมาณฝนที่หาดใหญ่ “หนักสุดในรอบ 300 ปี” ทำให้เกิดข้อสงสัยในโลกออนไลน์ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน ชี้แจงว่า คำนี้เป็น “คำอธิบายทางสถิติอุทกวิทยา” หมายถึงเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้น ประมาณ 1 ครั้งใน 300 ปี หรือมีความน่าจะเป็นเพียง 0.33% ต่อปี ไม่ได้หมายถึงว่ามีข้อมูลจริงจาก 300 ปีก่อน แต่สะท้อนว่าปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ครั้งนี้อยู่ในระดับรุนแรงและผิดปกติมากกว่าค่าเฉลี่ยหลายเท่าตัว หมายความว่า ทุกปี จะมี “ความน่าจะเป็น” ที่สามารถเกิดฝนตกหนักเช่นนี้ อยู่ที่ร้อยละ 0.33 นั่นเอง

ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทำให้เหตุการณ์ฝนตกหนักเกิดถี่และรุนแรงขึ้น ขณะที่รูปแบบการระบายน้ำและแผนป้องกันสาธารณภัยก็มีผลต่อความเสียหายเช่นกัน

กรมชลประทานยืนยันว่า ขณะนี้กำลังเร่งระบายน้ำร่วมกับทุกหน่วยงานอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อบรรเทาผลกระทบในพื้นที่ประสบภัยภาคใต้