ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในรอบนี้เป็นเครื่องมือที่มีขอบเขตมากกว่าการค้า โดยใช้ต่อรองประเทศคู่ค้าให้ยอมเจรจาตามเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ มากขึ้น อาทิ นโยบายส่งกลับผู้อพยพที่ผิดกฎหมาย แก้ปัญหาภัยคุกคามจากยาเฟนทานิล ดึงเม็ดเงินลงทุนกลับประเทศ ส่งเสริมภาคธุรกิจและการผลิตในประเทศ เสริมสร้างความมั่นคงของชาติ ซึ่งแตกต่างจากครั้งแรกที่มีวัตถุประสงค์เพียงต้องการสร้างความเป็นธรรมทางการค้าให้แก่สหรัฐฯ
ทั้งนี้ สหภาพยุโรป เวียดนาม รวมถึงไทย มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกใช้เครื่องมือภาษีนำเข้าเพื่อต่อรองผลประโยชน์กับสหรัฐฯ ในลำดับถัดไป ซึ่งดูจากยอดมูลค่าการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และสัดส่วนการพึ่งพิงตลาดเทียบกับ Nominal GDP โดยแคนาดาและเม็กซิโก พึ่งพิงตลาดส่งออกสหรัฐฯ ถึง 28.6% และ 18.2% ต่อ Nominal GDP ตามลำดับ สะท้อนถึงอำนาจการต่อรองของสหรัฐฯ ที่มากกว่า ในขณะที่จีนมียอดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงสุด
สำหรับผลกระทบต่อประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า สงครามการค้าครั้งนี้จะสร้างผลกระทบต่อภาพรวมการค้าโลกและส่งผลต่อเนื่องมายังการส่งออกไทย ดังนี้
ผลกระทบโดยตรงจากการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ลดลง โดยสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ มากที่สุด ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน โซลาร์เซลล์ ยางล้อ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น เนื่องจากมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก และค่อนข้างมีความยืดหยุ่นต่อราคา
ผลกระทบทางอ้อมจากการส่งออกไปตลาดโลกได้น้อยลง จากการแข่งขันกับสินค้าจีนในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น อาทิ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ของเล่น เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ข้อสรุปยังขึ้นกับการเจรจา ซึ่งในกรณีที่มีการเลื่อนระยะเวลาการขึ้นภาษีนำเข้ากับไทยออกไป ส่งออกไทยอาจได้อานิสงส์สั้นๆ จากการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเพื่อแทนที่การนำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน ที่โดนขึ้นภาษีไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ยางรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
สรุปข่าว
ที่มาข้อมูล : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ที่มารูปภาพ : TNN