
ถึงตรงนี้แล้วเชื่อเหลือเกินว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วสำหรับ ลิเวอร์พูล กับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-25 มาครอง หลังจากที่ทำแต้มนำ อาร์เซน่อล ห่าง 13 คะแนน ขณะที่เหลือโปรแกรมอีกเพียง 5 เกมเท่านั้น
ขอแต่ชนะอีกแค่เกมเดียว ลิเวอร์พูล ที่เพิ่งจะเปลี่ยนกุนซือคนใหม่จาก เจอร์เก้น คล็อปป์ มาเป็น อาร์เน่อ ชล็อต ที่เพิ่งเข้ามารับงานคุมทีมเพียงฤดูกาลแรก ก็จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ในทันที ถือว่าเป็นอะไรที่น่าเซอร์ไพรส์สุดๆ เช่นกัน
เพราะถ้าย้อนกลับไปตอนเริ่มต้นฤดูกาล หากว่าไปถามแฟนบอลหงส์แดงทั่วโลกว่ามีความมั่นใจแค่ไหนว่าจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ เชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วคงไม่กล้าหวังสูงขนาดนั้น เพราะขนาดมี คล็อปป์ คุมทีมข้างสนาม กว่าจะคว้าแชมป์ได้แต่ละทีก็เลือดตาแทบกระเด็น แล้ว อาร์เน่อ ชล็อต เก่งมาจากไหน?
"ยังไงแค่ติดท็อป 4 ได้ตั้งแต่ปีแรกก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว หลังจากนั้นค่อยว่ากัน" เชื่อเหลือเกินว่าน่าจะมีแฟนบอล ลิเวอร์พูล จำนวนไม่น้อยที่คิดแบบนั้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะมีเหตุผลอะไรสักข้อที่ทำให้ ชล็อต ที่มีประสบการณ์คุมทีมแค่ในลีกดัตช์อย่าง กัมบูร์ ลูวาเด้น, อาแซด อัล์คมาร์ และ เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม และยังไม่ได้ประสบความสำเร็จสูงสุดในระดับยุโรป สามารถทำให้ ลิเวอร์พูล ในยุคเปลี่ยนผ่าน ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาครองได้ในทันทีตั้งแต่ปีแรก...
ก็น่าจะเป็นเพราะว่า ชล็อต เป็นกุนซือที่ "ไม่ได้มีอีโก้สูง" เหมือนอย่างที่เราเห็นจากผู้จัดการทีมคนอื่นๆ

สรุปข่าว
ชล็อต เข้ามารับไม้ต่อจาก คล็อปป์ ที่เป็นขวัญใจแฟนบอลมาอย่างยาวนาน ย่อมเจอกับการเปรียบเทียบและแรงกดดันที่มหาศาล สิ่งที่เขาจะทำให้แฟนบอลศรัทธาในตัวเขาได้มีเพียงแค่ผลการแข่งขันเท่านั้น นั่นทำให้กุนซือดัตช์ แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูล ไปจากในยุคที่มี คล็อปป์ คุมทีมเลย ทั้งในแง่ของแผนการเล่นหรือวิธีการเล่นเกมรุก อาจจะมีบางอย่างที่แตกต่างไปบ้าง อาทิ การไม่ได้สั่งให้ลูกทีมเล่นเกมบุกอย่างบ้าคลั่งมากเท่าสมัยที่มีเทรนเนอร์ชาวเยอรมันเป็นนายใหญ่ของทีม แต่ถ้ามองเผินๆ แทบจะไม่มีความแตกต่างกัน
นอกจากนี้ ชล็อต ก็ยังรับมรดกจาก คล็อปป์ มาใช้ต่ออย่างคุ้มค่า และแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลง 11 ตัวจริงจากในยุคก่อนหน้านี้เลย กระดูกสันหลังของทีมยังคงเป็น อลิสซง เบคเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, อเล็กซิส แม็ก อัลลิสเตอร์ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ขณะที่การเสริมทัพช่วงซัมเมอร์ก็มีแค่ เฟเดริโก้ เคียซ่า แค่รายเดียวเท่านั้น ในราคาเพียง 10 ล้านปอนด์ (ราว 442 ล้านบาท) แถมยังย้ายมาในช่วงท้ายของตลาด ซึ่งว่ากันว่าอันที่จริง ลิเวอร์พูล อาจจะไม่ได้อยากได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม การที่เขาแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงทีมในทันทีทันใด กลับกลายเป็นเรื่องดี เพราะ ลิเวอร์พูล ยังคงเป็นทีมที่มีเสถียรภาพไม่ต่างไปจากในยุคที่มี คล็อปป์ คุมทีม และรันผลงานได้ต่อเนื่อง ซึ่งบางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่บอร์ดบริหารเลือก ชล็อต เข้ามาเป็นนายใหญ่คนใหม่ แทนที่จะเป็นกุนซือที่มีโปร์ไฟล์โด่งดังมากกว่านี้ เพราะ ชล็อต เข้ามาในฐานะเฮดโค้ช ที่มีหน้าที่หลักคือการคุมทีมซ้อมและจัดทีมลงแข่งตามทรัพยากรที่มีเท่านั้น ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงในการสรรหานักเตะเข้าสู่ทีมแต่อย่างใด ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวจะอยู่ในมือของผู้บริหารอย่าง ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ ซีอีโอด้านฟุตบอล และ จูเลี่ยน วอร์ด ผู้อำนวยการเทคนิค มากกว่า
ลิเวอร์พูล ที่ไม่ได้มีใครคาดหวังมากมายตั้งแต่แรก จึงเล่นไปได้เรื่อยๆ อย่างที่ไม่ต้องเจอแรงกดดัน ก่อนจะทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในพรีเมียร์ลีกและถ้วยใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เข้ารอบน็อคเอาท์ได้ในฐานะอันดับ 1 ในรอบ ลีก เฟส ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ผิดคาดมาก
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ลิเวอร์พูล จะค่อยๆ หลุดวงโคจรไปทีละถ้วย ไล่ตั้งแต่ เอฟเอ คัพ ที่พลิกล็อกพ่ายให้กับทีมอย่าง พลีมัธ อาร์ไกล์ จนต้องกระเด็นตกรอบไปเพียงรอบที่ 4 หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่อุตส่าห์เข้ารอบ 16 ทีมในฐานะแชมป์รอบ ลีก เฟส แต่กลับต้องเข้ามาเจอของแข็งอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง และกลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่เป็นฝ่ายพ่ายไปในการดวลจุดโทษ หลังสองนัดเสมอกันที่ประตูรวม 1-1
ขณะที่ในรายการอย่าง ลีก คัพ แม้ว่าจะผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่กลับต้องพ่ายให้กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ไป 1-2 ในรูปเกมที่ต้องยอมรับว่าทีมสาลิกาดงทำได้ดีกว่ามาก จากที่น่าจะเป็นฤดูกาลที่น่าจะได้แชมป์มากกว่าหนึ่งรายการ กลายเป็นเหลือแค่แชมป์พรีเมียร์ลีกเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม การได้แชมป์พรีเมียร์ลีกย่อมเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ อยู่ดี เพราะนี่คือการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของ ลิเวอร์พูล เป็นสมัยที่ 20 เทียบเท่ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่แซงหน้าพวกเขามา 2 สมัยตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่ทีมปีศาจแดงมี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นนายใหญ่ของทีม
ดังนั้น ถ้าย้อนกลับไปตอนก่อนจะเริ่มต้นฤดูกาลนี้ และบอกแฟนลิเวอร์พูลว่า "พวกคุณจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกแค่รายการเดียวเท่านั้นนะในซีซั่นนี้" ร้อยทั้งร้อยย่อมต้องอ้าแขนรับอย่างที่ไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ และแน่นอนว่ามันย่อมไม่ใช่ฤดูกาลที่ล้มเหลว แต่มันเป็นฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จเกินคาดเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าจับตามองหลังจากนี้ก็คือ ก้าวต่อไปของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป?
เพราะถ้าหากพิจารณากันให้ดีแล้ว ส่วนหนึ่งที่ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่มีผลงานดีแรงไม่มีตกในพรีเมียร์ลีก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คือคนที่ต้องได้เครดิตไปเป็นส่วนใหญ่อย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่มีฟอร์มดุจเทพเจ้าของกองหน้าทีมชาติอียิปต์รายนี้ ที่ทำไปแล้ว 27 ประตูกับอีก 18 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 33 นัดในลีก บางที ลิเวอร์พูล อาจจะไม่ใช่ทีมที่นำโด่งบนตารางคะแนนอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ก็เป็นได้...
ดังนั้น การที่สามารถบรรลุข้อตกลงในการต่อสัญญาใหม่กับ ซาลาห์ ออกไปอีก 2 ปีได้นั้น แม้ว่ากองหน้ารายนี้กำลังจะมีอายุครบ 33 ปีในเดือนมิถุนายนที่จะถึง ก็น่าจะยังเป็นการตัดสินที่คุ้มค่า หรืออย่างน้อยก็เป็นการเพลย์เซฟ ดีกว่าที่จะหักดิบปล่อยออกจากทีมไปแบบฟรีๆ ในซัมเมอร์นี้ เพราะเสียดายเงินค่าเหนื่อย
เช่นเดียวกันกับการต่อสัญญากับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ออกไปอีก 2 ปี แม้ว่าปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์รายนี้กำลังจะอายุครบ 34 ปีในเดือนกรกฎาคมนี้ก็ตาม แต่เมื่อมองไปในแผงหลังของทีมในเวลานี้แล้ว นอกเหนือจาก ฟาน ไดค์ ก็ไม่มีใครที่จะอยู่ในระดับเดียวกับเขาเลย
อาจจะมีแค่รายเดียวนั้นคือ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่แม้ว่าเจ้าตัวจะยังไม่ได้บอกตรงๆ ว่าจะอยู่ต่อหรือจะย้ายไปแบบไม่มีค่าตัว แต่จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่เชื่อว่า เทรนท์ น่าจะเลือกไป เรอัล มาดริด ตามข่าวที่ออกมาค่อนข้างแน่ ซึ่งการขาดหายไปของแบ็กขวาจอมบุกรายนี้ น่าจะมีผลกระทบต่อ ลิเวอร์พูล อยู่บ้าง แต่ยังไงซะก็คงไม่เท่ากับการไม่มี ซาลาห์ หรือ ฟาน ไดค์ อย่างแน่นอน
แต่กระนั้น สิ่งที่หลายคนจับตามองหลังจากนี้ก็คือ ลิเวอร์พูล ในปีหน้าจะมีรูปโฉมอย่างไร เพราะถึงแม้ว่า ซาลาห์ และ ฟาน ไดค์ จะอยู่ต่อ แต่ก็น่าจะมีอีกหลายรายที่อาจจะถูกปล่อยออกจากทีม อาทิ ดาร์วิน นูนเญซ ที่มีผลงานไม่น่าประทับใจ หรือ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่โรยรามากขึ้นเรื่อยๆ หรือแม้แต่ หลยุส์ ดิอาซ ที่ตกเป็นข่าวย้ายทีมอยู่เนืองๆ
แต่ในทางกลับกัน หากว่ามีแข้งที่เดินออกจากทีม ก็ต้องมีการซื้อแข้งรายใหม่เข้ามาเสริมทีมด้วยเช่นกัน หรือพูดได้อีกนัยหนึ่งว่า มรดกที่ได้รับมาจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเริ่มมีการเปลี่ยนถ่าย และ อาร์เน่อ ชล็อต น่าจะได้เริ่มต้นสร้างทีมลิเวอร์พูลที่เป็นของเขาจริงๆ เสียที ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ หรือแย่ลงไปกว่าเดิม แต่นั่นคือสิ่งที่ต้องดำเนินไป
การอยู่ต่อของ ซาลาห์ และ ฟาน ไดค์ อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับ ชล็อต ที่ยังมีขุนพลที่ไว้ใจได้ทำงานร่วมกันต่อ แต่ในทางกลับกัน ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า ขาลงของทั้งสองคนนี้จะเกิดขึ้นตอนไหน และถ้าฤดูกาลหน้าทั้ง ซาลาห์ และ ฟาน ไดค์ ไม่สามารถเป็นเสาหลักและเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของทีมได้เหมือนเคย ผลงานของ ลิเวอร์พูล จะยังยอดเยี่ยมเหมือนอย่างในฤดูกาลนี้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องค้นหากันต่อไป
นั่นทำให้ "ก้าวต่อไปของ ลิเวอร์พูล" เป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างมากในอนาคตกำลังจะมาถึงในไม่ช้า...
ที่มาข้อมูล : BBC, Sky Sports
ที่มารูปภาพ : AFP