'โมฮาเหม็ด ซาลาห์' ดวงดาวผู้พา 'ลิเวอร์พูล' สู่แชมป์

'โมฮาเหม็ด ซาลาห์' ดวงดาวผู้พา 'ลิเวอร์พูล' สู่แชมป์

สรุปข่าว

เปิดประวัติ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดวงดาวอันเจิดจริส ผู้นำพา ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรอบ 30 ปี

ถือว่าไม่ได้มีอะไรที่พลิกความคาดหมาย หลัง ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2024-25 ไปครองได้สำเร็จขณะที่เหลือโปรแกรมอีกถึง 4 เกม ด้วยการเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไปอย่างขาดลอย 5-1 ในเกมเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา...

การคว้าแชมป์ครั้งนี้ของพวกเขา นอกจากจะเป็นการได้แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งที่ 2 ในรอบ 5 ปีแล้ว ยังเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 อีกด้วย ซึ่งถือว่ามากที่สุดในอังกฤษ เทียบเท่ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ที่ครองสถิตินี้แต่เพียงผู้เดียวมาตั้งแต่ปี 2013

แชมป์พรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล ที่เกิดขึ้นในเที่ยวล่าสุดนี้ ได้สร้างสถิติที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม หากขาดนักเตะคนนี้ไปสักคน เชื่อเหลือเกินว่าแชมป์สมัยที่ 20 ของ ลิเวอร์พูล อาจจะยังไม่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าคงต้องเหมารวมไปถึงแชมป์สมัยที่ 19 ของพวกเขา ที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้วด้วย

นักเตะคนที่ว่านั่นก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือที่แฟนบอลชาวไทยชอบเรียกกันว่า "บังโม" นั่นเอง และวันนี้เราจะไปค้นหากันว่าเรื่องราวและที่มีที่ไปของ ซาลาห์ ก่อนจะมาเป็นดวงดาวอันเจิดจรัสที่พาหงส์แดงบินสูงจนถึงแชมป์นั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง...

สรุปข่าว

เปิดประวัติ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดวงดาวอันเจิดจริส ผู้นำพา ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรอบ 30 ปี

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีชื่อเต็มๆ ว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ฮาเหม็ด มาห์รุส กาห์ลี เกิดที่เมืองบาสยูน ประเทศอียิปต์ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ปี 1992 ปัจจุบันมีอายุ 32 ย่าง 33 ปี เริ่มเล่นฟุตบอลจริงจังตั้งแต่อายุได้ 12 ขวบ เมื่อเข้าสู่ทีมเยาวชนของ อิตติฮัด บาสยูน ซึ่งเป็นสโมสรท้องถิ่น ก่อนที่ในปี 2006 แมวมองจาก อัล โมคอว์ลูน อัล อาหรับ ที่ตั้งใจเข้ามาดูฟอร์มเด็กรายอื่นๆ กลับเจอฟอร์มการเล่นของ ซาลาห์ ในวัย 14 ปีเตะตาเข้าอย่างจัง ทำให้ดึงตัวไปเข้าทีมเยาวชนด้วยทันที และเพียง 1 ปีให้หลัง ด้วยความมากพรสวรรค์ทำให้เจ้าตัวถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ทั้งๆ ที่อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น

ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2010 ซาลาห์ ในวัย 18 ปี ก็ได้รับโอกาสลงสนามในนามทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในเกม อียิปต์ พรีเมียร์ลีก โดยถูกเปลี่ยนลงไปเป็นตัวสำรอง ในเกมที่เสมอกับ เอล มานซูร่า ไป 1-1 หลังจากนั้น ซาลาห์ ก็ได้ลงสนามมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กว่าจะทำประตูแรกได้ก็ต้องรอจนถึงเดือนธันวาคม ในเกมที่เสมอกับ อัล อาห์ลี 1-1 และเริ่มกลายเป็นตัวหลักของทีมอย่างจริงๆ จังๆ หลังจากนั้น

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ ซาลาห์ ได้ก้าวออกสู่ยุโรปก็คือเหตุการณ์จลาจลที่สนาม พอร์ท ซาอิด ในเกมระหว่าง อัล มาสรี่ ปะทะกับ อัล อาห์ลี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2012 ซึ่งในเกมดังกล่าวจบลงด้วยชัยชนะของ อัล มาสรี่ 3-1 แต่กลับเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อมีแฟนบอลเสียชีวิตมากถึง 74 ราย และบาดเจ็บกว่า 500 คน หลังแฟนบอลเจ้าถิ่นอย่าง อัล มาสรี่ นับพันรายวิ่งลงสู่สนามหลังเกมจบลงและเกิดการตะลุมบอนกันขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้โปรแกรมที่เหลือของศึก อียิปต์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011-12 ที่เพิ่งจะเล่นไปราว 15 นัด ถูกยกเลิกทันที

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เอฟซี บาเซิ่ล ทีมดังจาก สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจับตามอง ซาลาห์ มาสักระยะแล้ว เห็นว่าลีกอียิปต์ยกเลิกการแข่งขันในช่วงที่เหลือของฤดูกาล ทำให้พวกเขาจัดเกมกระชับมิตรขึ้นมา โดยพวกเขาเชิญทีมชาติอียิปต์ชุดอายุไม่เกิน 23 ปีมาเป็นคู่ต่อสู้ ในวันที่ 16 มีนาคมปีเดียวกัน

ถึงแม้ว่า ซาลาห์ จะไม่ได้เป็นตัวจริง และลงเล่นแค่ครึ่งหลังเพียงอย่างเดียว แต่เจ้าตัวก็ระเบิดฟอร์มสุดประทับใจ หลังทำคนเดียว 2 ประตูช่วยให้ อียิปต์ เอาชนะ บาเซิ่ล ไปได้ 4-3 นั่นทำให้ บาเซิ่ล เชิญ ซาลาห์ ให้อยู่ซ้อมกับทีมต่ออีก 1 สัปดาห์ ก่อนที่วันที่ 10 เมษายน จะประกาศว่าพวกเขาได้เซ็นสัญญาคว้าตัว ซาลาห์ มาร่วมทีมเรียบร้อย ด้วยสัญญา 4 ปี ซึ่งจะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ ซาลาห์ ได้ข้ามฟากมายังลีกยุโรป บนวัยเพียง 20 ปีเท่านั้น

ซาลาห์ ค้าแข้งกับ เอฟซี บาเซิ่ล อยู่ 2 ฤดูกาล ซึ่งช่วงแรกถือว่าหนักหน่วงสำหรับเขาไม่น้อย เพราะเขาถูกดึงตัวมาในฐานะตัวแทนของ เซอร์ดาน ชากิรี่ ที่ตอนนั้นกำลังโด่งดังสุดๆ และโดน บาเยิร์น มิวนิค คว้าตัวไปร่วมทีม และ ซาลาห์ ในเวลานั้นยังไม่มีประสบการณ์ใดๆ ในต่างแดน รวมถึงยังไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสได้

แต่กระนั้นในฤดูกาลแรก ซาลาห์ ก็ยังมีโอกาสได้ลงสนามรวม 50 เกมในทุกรายการ ทั้งในฐานะตัวจริงและตัวสำรอง ก่อนจะทำไป 10 ประตูกับอีก 10 แอสซิสต์ ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว และช่วยให้ บาเซิ่ล คว้าแชมป์ สวิส ซูเปอร์ลีก มาครองได้สำเร็จ ก่อนที่ในฤดูกาลถัดมา ซาลาห์ ยิ่งโดดเด่นมากกว่าเดิม โดยได้ลงสนามเป็นตัวจริงเกือบทุกนัด ทำไป 10 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 29 เกมรวมทุกรายการ

จากฟอร์มที่โดดเด่นทำให้ เชลซี ที่ตอนนั้นมี โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นผู้จัดการทีม ตัดสินใจทุ่มเงิน 11 ล้านปอนด์ หรือราว 493 ล้านบาท ดึงตัวเพชรเม็ดงามอย่าง ซาลาห์ มาร่วมทีมทันที ในเดือนมกราคมปี 2014 ซึ่งอันที่่จริงแล้วในเวลาเดียวกันนั้น ลิเวอร์พูล ก็แสดงความสนใจในตัว ซาลาห์ เช่นกัน และได้ยื่นข้อเสนอเท่ากันกับ เชลซี ให้ บาเซิ่ล พิจารณา แต่สุดท้ายเป็นทาง ซาลาห์ ที่เลือกย้ายไปเล่นให้กับทีมสิงห์บลูส์

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกย้ายมา เชลซี ในเวลานั้นของ ซาลาห์ น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ผิด เพราะเขาแทบไม่ได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องเลย โดยในฤดูกาลแรก ที่เป็นครึ่งหลังของซีซั่น 2013-14 นั้น ซาลาห์ ได้ลงเล่นไปเพียง 11 เกมรวมทุกรายการ และเป็นตัวจริงแค่ 6 เกมเท่านั้น ก่อนจะทำไป 2 ประตูกับ 1 แอสซิสต์

ถัดมาในฤดูกาล 2014-15 อนาคตของ ซาลาห์ กับ เชลซี ยิ่งมืดมนลงไปใหญ่ เมื่อเขาได้ลงเล่นเพียง 8 เกมรวมทุกรายการ และไม่ได้เป็นตัวจริงในเกมลีกเลย ซึ่งสาเหตุสำคัญก็คือเขาไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงภายในทีมเวลานั้นได้ เนื่องจาก เชลซี มีทั้ง เอแด็น อาซาร์ และ วิลเลี่ยน ที่ฟอร์มสุดยอดมากๆ 

ทำให้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2015 ซาลาห์ ตัดสินใจย้ายไป ฟิออเรนติน่า ใน กัลโช่ เซเรีย อิตาลี แบบยืมตัวด้วยสัญญา 18 เดือน ซึ่งที่อิตาลีนี่เอง ทำให้ ซาลาห์ เริ่มจะเรียกความมั่นใจกลับมาได้อีกครั้ง หลังลงสนามไป 26 เกมรวยมทุกรายการ ทำไป 9 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2014-15

จากฟอร์มดังกล่าว ทำให้ โรม่า แสดงความสนใจในตัว ซาลาห์ อย่างจริงจัง ทำให้ เชลซี กับ ฟิออเรนติน่า ต้องไปเคลียร์เรื่องสัญญายืมตัวอีก 1 ปีที่เหลือ ก่อนจะทำให้ ซาลาห์ ย้ายไปร่วมทีม โรม่า แบบยืมตัวแบบเต็ม 1 ฤดูกาล ในซีซั่น 2015-16 พร้อมกับที่ โรม่า มีเงื่อนไขสามารถซื้อตัวร่วมทีมถาวรได้หลังจบฤดูกาล

และ ซาลาห์ ก็ไม่ได้ทำให้ โรม่า ผิดหวัง เมื่อกลายเป็นตัวหลักของทีมได้ทันที ก่อนจะลงเล่นไป 42 เกมรวมทุกรายการ ทำไป 15 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ ทำให้ โรม่า ยอมจ่ายเงิน 15 ล้านยูโร หรือราว 572 ล้านบาท คว้าตัว ซาลาห์ มาร่วมทีมเป็นการถาวรทันทีในเดือนสิงหาคม 2016 ซึ่งฤดูกาลที่สองของ ซาลาห์ ในสีเสื้อหมาป่าแห่งกรุงโรมนั้น ยิ่งโดดเด่นมากกว่าเดิม หลังเจ้าตัวทำไป 19 ประตูกับ 14 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 41 เกมรวมทุกรายการ

แม้ว่าจะไม่สามารถพา โรม่า ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์อะไรมาครองได้ แต่ชื่อของ ซาลาห์ ในวัย 25 ปี ได้ตกเป็นเป้าหมายของบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปเรียบร้อย และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญก็มาถึง เมื่อ ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องการมองหาแนวรุกคนใหม่เข้าสู่ทีม ก่อนจะยอมทุ่มเงินสูงถึง 43 ล้านปอนด์รวมโบนัส หรือราว 1,929 ล้านบาท คว้าตัวดาวยิงทีมชาติอียิปต์มาร่วมทีมในช่วงหน้าร้อนปี 2017 ซึ่งถือเป็นการเซ็นสัญญานักเตะค่าตัวแพงที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในเวลานั้น ทำลายสถิติเดิมของ แอนดี้ แคร์โรลล์ ที่ย้ายจาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด มาด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ (ราว 1,570 ล้านบาท) เมื่อปี 2011

หลังจากย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ที่เหลือก็คือประวัติศาสตร์ เพราะ ซาลาห์ เข้าไปอยู่ในใจของเหล่า "เดอะ ค็อป" ทั้งโลกได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรก หลังทำสถิติยิง 44 ประตูกับอีก 16 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 52 เกมในทุกรายการ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ทันที แต่โชคร้ายเมื่อ ซาลาห์ ได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่จากการปะทะกับ เซร์คิโอ รามอส จนทำให้เล่นต่อไม่ไหว ก่อนที่ท้ายที่สุด ลิเวอร์พูล จะเป็นฝ่ายพ่าย เรอัล มาดริด ไป 1-3 แบบเจ็บช้ำ

อย่างไรก็ตาม หลังหายจากอาการบาดเจ็บ ซาลาห์ ก็กลับมาเป็นกำลังสำคัญให้ ลิเวอร์พูล ต่อ ก่อนที่อีกเพียง 1 ปีให้หลัง ลิเวอร์พูล จะเข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง และครั้งนี้พวกเขาก็ไม่พลาด เมื่อเป็นฝ่ายเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไปได้ 2-0 คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ของสโมสรไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ขณะที่ในพรีเมียร์ลีกก็ขับเคี่ยวกับ แมนฯ ซิตี้ อย่างถึงพริกถึงขิง ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะเป็นฝ่ายแพ้ไปเพียงคะแนนเดียว ทั้งๆ ที่เก็บได้ถึง 97 คะแนน ได้แค่รองแชมป์ไปครองเท่านั้น

ฟอร์มการเล่นของ ซาลาห์ กับ ลิเวอร์พูล เป็นเหมือนกับสายน้ำ มันสม่ำเสมอและแทบไม่เคยตกลงไปเลย แม้ว่าจะอายุมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เคยยิงให้ ลิเวอร์พูล น้อยกว่า 20 ประตูต่อฤดูกาล ตลอด 8 ซีซั่นที่อยู่ด้วยกันมา และมีถึง 5 ฤดูกาลที่ยิงได้มากกว่า 30 ประตู ซึ่งจากฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมนี้เอง ทำให้ ลิเวอร์พูล ในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ในฤดูกาล 2019-20 ต่อยอดจากปีที่ได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งในฤดูกาลดังกล่าว ซาลาห์ ทำไป 23 ประตูกับอีก 13 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 48 เกมรวมทุกรายการ

ซาลาห์ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล กวาดแชมป์รายการสำคัญมาได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ แม้กระทั่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือที่แฟนหงส์แดงรักมากที่สุดจะอำลาทีมไปแล้วหลังจบฤดูกาลก่อน แต่การมีอยู่ของ ซาลาห์ กลับทำให้คนที่เข้ามาสานต่ออย่าง อาร์เน่อ ชล็อต ได้รับมรดกที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง

ภายใต้การนำทีมของกุนซือคนใหม่อย่าง ชล็อต นั้น เทรนเนอร์ชาวดัตช์แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรจากในยุคของ คล็อปป์ เลย ไม่ว่าจะเป็นแผนการเล่นหรือ 11 ตัวจริงของทีม นอกจากจะปรับสไตล์การเล่นให้ดุดันน้อยลง และเสริมด้วยความแน่นอนมากขึ้น ซึ่ง ซาลาห์ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของทีมแบบสุดๆ ชนิดที่สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า หากไม่มีเขาสักคน ลิเวอร์พูล ก็อาจจะไม่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2024-25 ได้ง่ายดายขนาดนี้

เมื่อ ซาลาห์ ในวัย 32 ปี ทำไปถึง 28 ประตูกับอีก 18 แอสซิสต์ จากการลงสนามในลีก 34 เกม ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 2 ในรอบ 5 ปีมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ทั้งๆ ที่เหลือโปรแกรมให้ลงแข่งอีก 4 นัด และถ้านับรวมทุกรายการจนถึงตอนนี้ ซาลาห์ กดไปแล้ว 33 ประตูกับอีก 23 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 48 นัด ถือเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ และทำให้ "บังโม" น่าจะมีลุ้นรางวัล บัลลง ดอร์ ที่จะมอบให้ในฤดูกาลหน้าได้เลย

จากผลงานอันยอดเยี่ยมอย่างที่กล่าวมา แม้ว่าอายุจะใกล้ 33 ปีเต็มที แต่ท้ายที่สุดแล้ว ลิเวอร์พูล ก็ยอมที่จะต่อสัญญาใหม่กับ ซาลาห์ ออกไปอีก 2 ฤดูกาล พร้อมกับรับค่าเหนื่อยระดับ 400,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง หลัง "เดอะ คิง ออฟ แอนฟิลด์" ยิงไปแล้ว 244 ประตูกับอีก 113 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทั้งหมด 397 เกม และแน่นอนว่าตัวเลขเหล่านี้ จะยังไม่หยุดลงเพียงเท่านี้

ไม่มีใครรู้ว่าอีก 2 ฤดูกาลต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ซาลาห์ จะยังรักษาฟอร์มการเล่นในระดับนี้เอาไว้ได้หรือไม่ รวมถึงจะยังช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกสูงสุดแซงหน้าคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ได้รึเปล่า แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือการมาของ ซาลาห์ เป็นเหมือนดาวอันเจิดจริส ผู้นำพา ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง...

ที่มาข้อมูล : Wikipedia, BBC, Daily Mail, UEFA

ที่มารูปภาพ : AFP