
การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2024-25 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ที่เตรียมจะฉลองชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกหลังจากจบเกมนี้ ทำได้แค่ไล่ตามตีเสมอ คริสตัล พาเลซ 1-1 หลังโดนนำไปก่อนตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งแรกจากการยิงของ อิสไมล่า ซาร์ ตั้งแต่นาทีที่ 9 แถมครึ่งหลังยังมาเหลือแค่ 10 คนหลัง ไรอัน กราเฟ่นแบร์ค มาโดนใบแดง แต่มาได้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงตีเสมอช่วงท้ายเกมนาทีที่ 84 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ตามตีเสมอได้สำเร็จในนัดปิดท้ายฤดูกาล
ก่อนเกมนัดนี้จะเริ่มขึ้นนั้นมีบรรยากาศที่น่ารักระหว่างทั้งสองทีม เมื่อ คริสตัล พาเลซ มีการตั้งแถวปรบมือให้กับทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง ลิเวอร์พูล แต่พอหลังจากเดินผ่านขบวนแถวไปแล้ว นักเตะหงส์แดงก็ตั้งแถวปรบมือให้กับผู้เล่นของ คริสตัล พาเลซ ด้วยเช่นเดียวกัน หลังเพิ่งคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ครึ่งแรกเล่นมาได้แค่ 9 นาที แฟนบอลเจ้าถิ่นที่เตรียมเข้ามาฉลองในเกมนี้กันแบบเต็มเหนี่ยวต้องเซ็งกันไปตามๆ กัน หลังตกเป็นฝ่ายตามหลัง คริสตัล พาเลซ ไปก่อน 0-1 เมื่อ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ แบ็กขวาดาวรุ่งจ่ายบอลไม่ดี ถูก ไทริค มิทเชลล์ แบ็กซ้ายของ พาเลซ ตัดบอลได้ ก่อนจะจ่ายให้ อิสไมล่า ซาร์ หลุดเดี่ยวเข้าไปยิงหนีมือ อลิสซง เบคเกอร์ ตุงตาข่าย
สรุปข่าว
การแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2024-25 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ที่เตรียมจะฉลองชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกหลังจากจบเกมนี้ ทำได้แค่ไล่ตามตีเสมอ คริสตัล พาเลซ 1-1 หลังโดนนำไปก่อนตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งแรกจากการยิงของ อิสไมล่า ซาร์ ตั้งแต่นาทีที่ 9 แถมครึ่งหลังยังมาเหลือแค่ 10 คนหลัง ไรอัน กราเฟ่นแบร์ค มาโดนใบแดง แต่มาได้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงตีเสมอช่วงท้ายเกมนาทีที่ 84 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ตามตีเสมอได้สำเร็จในนัดปิดท้ายฤดูกาล
ก่อนเกมนัดนี้จะเริ่มขึ้นนั้นมีบรรยากาศที่น่ารักระหว่างทั้งสองทีม เมื่อ คริสตัล พาเลซ มีการตั้งแถวปรบมือให้กับทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง ลิเวอร์พูล แต่พอหลังจากเดินผ่านขบวนแถวไปแล้ว นักเตะหงส์แดงก็ตั้งแถวปรบมือให้กับผู้เล่นของ คริสตัล พาเลซ ด้วยเช่นเดียวกัน หลังเพิ่งคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ครึ่งแรกเล่นมาได้แค่ 9 นาที แฟนบอลเจ้าถิ่นที่เตรียมเข้ามาฉลองในเกมนี้กันแบบเต็มเหนี่ยวต้องเซ็งกันไปตามๆ กัน หลังตกเป็นฝ่ายตามหลัง คริสตัล พาเลซ ไปก่อน 0-1 เมื่อ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ แบ็กขวาดาวรุ่งจ่ายบอลไม่ดี ถูก ไทริค มิทเชลล์ แบ็กซ้ายของ พาเลซ ตัดบอลได้ ก่อนจะจ่ายให้ อิสไมล่า ซาร์ หลุดเดี่ยวเข้าไปยิงหนีมือ อลิสซง เบคเกอร์ ตุงตาข่าย
หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล พยายามครองบอลบุก และในนาทีที่ 26 ก็เกือบตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะที่ โดมินิก โซโบซไล จ่ายให้ หลุยส์ ดิอาซ ได้บอลลากตัดเข้ามายิงด้วยเท้าขวา แต่บอลโค้งไม่พอหลุดเสาไกลออกไป
จากนั้นนาทีที่ 37 ลิเวอร์พูล น่าจะตีเสมอได้มากที่สุด หลัง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตักบอลเข้าเขตโทษให้ ดิอาซ ได้ฮาล์ฟวอลเลย์ด้วยเท้าซ้าย แต่ไปติดเซฟ ดีน เฮนเดอร์สัน อย่างเหลื่อเชื่อ ทำให้จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ตามหลัง คริสตัล พาเลซ 0-1
เริ่มครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล เปลี่ยน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ลงสนามมาแทนที่ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ ก่อนจะแผลงฤทธิ์จ่ายบอลยาวจากในแดนของตัวเองไปถึง ดาร์วิน นูนเญซ ตามเข้าไปถึงบอลในกรอบเขตโทษ แต่ยิงไม่ดีไปติดเซฟ เฮนเดอร์สัน ที่ออกมาบังบอลได้เร็ว
จากนั้นนาทีที่ 66 พาเลซ มีโอกาสลุ้นประตูที่สองเหมือนกัน เมื่อ มาซ็องซ์ ลาครัวซ์ กองหลังตัวเก่งเปิดบอลให้ อิสไมล่า ซาร์ จับบอลลงแล้วยิงด้วยขวา แต่ครั้งนี้ไม่ผ่านมือของ อลิสซง เบคเกอร์
อย่างไรก็ดี อีกแค่ 2 นาทีต่อมา ลิเวอร์พูล ก็ต้องมาเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน เมื่อ ไรอัน กราเฟ่นแบร์ค ที่เป็นผู้เล่นคนสุดท้ายไปจับบอลที่ลอยโด่งแถวๆ ครึ่งสนามไม่ดี ทำให้ ไดจิ คามาดะ สบโอกาสเข้าไปฉกบอล กราเฟ่นแบร์ค เลยยกเท้าขวางจน คามาดะ ล้มลง ผู้ตัดสินพุ่งเข้ามาแจกใบแดงไล่ออกจากสนามไปเลยทันที
แต่ถึงแม้ว่า ลิเวอร์พูล จะเหลือแค่ 10 แต่รูปเกมก็ยังเหนือกว่า และบุกได้อย่างต่อเนื่อง นาที่ที่ 75 เกือบจะตีเสมอได้สำเร็จ เมื่อ โคดี คักโป ได้บอลในกรอบเขตโทษ ก่อนจะตั้งให้ ดีโอโก้ โชต้า เข้ามาแปเน้นๆ แต่บอลไปชนเสาซะอย่างนั้น
จนกระทั่งนาทีที่ 84 ลิเวอร์พูล ที่เพียรพยายามอยู่นานก็ตามตีเสมอได้สำเร็จจนได้ จากจังหวะที่ นูนเญซ โยนบอลจากกราบขวาไปเสาไกลให้ คักโป โหม่งตั้งกลับมาให้ ซาลาห์ กระโดดสับด้วยเท้าซ้าย บอลไปแฉลบ ลาครัวซ์ เข้าประตูไป ทำให้จบเกม ลิเวอร์พูล เสมอกับ คริสตัล พาเลซ ไป 1-1 เก็บเพิ่มเป็น 84 คะแนน พร้อมกับได้ชูถ้วยแชมป์ ขณะที่ พาเลซ มี 53 คะแนนจาก 38 นัด จบในอันดับที่ 12 ของตาราง
ผู้เล่น 11 คนแรกของทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : อลิสซง เบคเกอร์ : คอเนอร์ แบรดลี่ย์, อิบราฮิม่า โกนาเต้, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน : เคอร์ติส โจนส์, ไรอัน กราเฟ่นแบร์ค : โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โดมินิก โซโบซไล, โคดี้ คักโป : หลุยส์ ดิอาซ
คริสตัล พาเลซ (3-4-2-1) : ดีน เฮนเดอร์สัน : คริส ริชาร์ดส์, มาซ็องซ์ ลาครัวซ์, เจฟเฟอร์สัน เลร์มา : ดาเนียล มูนญอซ, วิลล์ ฮิวจ์ส, ไดจิ คามาดะ, ไทริค มิทเชลล์ : อิสไมล่า ซาร์, เอเบเรชี่ เอเซ่ : ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตต้า
[ส่วนผลการแข่งขันคู่อื่นๆ มีดังนี้]
บอร์นมัธ ชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-0
ฟูแล่ม แพ้ แมนฯ ซิตี้ 0-2
อิปสวิช ทาวน์ แพ้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-3
แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ แอสตัน วิลล่า 2-0
นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด แพ้ เอฟเวอร์ตัน 0-1
น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แพ้ เชลซี 0-1
เซาธ์แฮมป์ตัน แพ้ อาร์เซน่อล 1-2
ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แพ้ ไบรท์ตัน 1-4
วูล์ฟแฮมป์ตัน เสมอ เบรนท์ฟอร์ด 1-1
[สรุปทีมที่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรปใน ฤดูกาล 2025-26]
- ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
1. ลิเวอร์พูล
2. อาร์เซน่อล
3. แมนฯ ซิตี้
4. เชลซี
5. นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
6. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (ไปในฐานะแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก)
- ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก
1. แอสตัน วิลล่า
2. คริสตัล พาเลซ (ไปในฐานะแชมป์ เอฟเอ คัพ)
- ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก
1. น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
ที่มาข้อมูล : TNN
ที่มารูปภาพ : Liverpool FC