
สรุปข่าว
โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่ระดับความดันของเลือดสูงกว่าระดับปกติ ซึ่งสามารถพบได้บ่อยในผู้ป่วยหลายช่วงอายุ ทั้งวัยรุ่น ผู้ใหญ่และวัยชรา ในบางรายอาจเป็นโดยไม่แสดงอาการ แต่ปล่อยไว้นานๆอาจสร้างความเสียหายต่อหลอดเลือดและหัวใจได้ ซึ่งภาวะความดันโลหิตสูงนี้สามารถนำไปสู่การเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพเรื้อรังอื่นๆ ได้อีกด้วย
โรคความดันสูงเกิดจากอะไร
ในคนปกติ ความดันเลือด (blood pressure: BP) จะวัดค่าได้ที่ 120/80 มิลลิเมตรปรอทในเพศชาย และ 110/70 มิลลิเมตรปรอทในเพศหญิง แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงค่าความดันจะวัดได้ที่ตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป โดยสาเหตุที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง มีดังนี้
1. อายุ โดยปกติความดันโลหิตจะสูงขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้
2. เวลา ความดันโลหิตจะขึ้นลง ไม่เท่ากันภายในช่วงของวัน ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำในแต่ละช่วงเวลา
3. สภาพจิตใจและอารมณ์ โดยพบว่าจิตใจและอารมณ์มีผลต่อความดันโลหิต เช่น ขณะที่ได้รับความเครียด ความดันโลหิตจะสูงกว่าปกติ
4. เพศ จากสถิติพบว่าเพศชายมีแนวโน้มเป็นโรคความดันโลหิตสูงบ่อยกว่าเพศหญิง
5. พันธุกรรม ซึ่งผู้ที่มีที่ประวัติของคนในครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าคนปกติ
6. สภาพภูมิศาสตร์ ผู้ที่อยู่ในสังคมเมืองจะพบภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่าในสังคมชนบท
7. เกลือ ผู้ที่บริโภคเกลือมากมีโอกาสเกิดโรคความดันโลหิตสูงกว่าคนทั่วไป
อาการโรคความดันโลหิตสูง
สำหรับอาการของโรคความดันโลหิตสูง จะมีอาการมึนหัว ปวดท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ เวียนศีรษะ หรือในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะคล้ายไมเกรน ส่วนในผู้ป่วยที่เป็นสะสมมานาน อาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น มือเท้าชา ตามัว นอนไม่หลับ และอาจเสียชีวิตเฉียบพลันได้
การรักษาโรคความดันโลหิตสูง
โดยปกติการรักษาโรคความดันโลหิต จะเป็นการให้ยาลดความดันเพื่อให้ค่าของความดันกลับมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งนอกจากการรับประทานยาแล้ว ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทุกรายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตด้วย ยกตัวอย่างเช่น ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก ลดหรืองดแอลกอฮอล์ งดบุหรี่ ทำสภาพจิตใจให้ห่างไกลจากความเครียด รับประทานอาหารที่มี เป็นต้น
วิธีป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
โรคความดันโลหิตสูงเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่เราสามารถป้องกันได้ ด้วยวิธีเหล่านี้
1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เพียงพอ
2. กินอาหารรสไม่จัดและลดการบริโภคเกลือในอาหาร
3. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน
4. ออกกำลังกายเป็นประจำ
5. ลดการดื่มแอลกอฮอล์
6. งดสูบบุหรี่
7. พยายามไม่ให้เกิดความเครียด
ที่มาข้อมูล : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธาณะสุข, คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
ที่มาภาพ : freepik
ที่มาข้อมูล : -

TNNThailand